จากเกณฑ์สู่คุณค่า: การประกันคุณภาพที่เปลี่ยนอนาคตมหาวิทยาลัย
GH News September 15, 2025 06:17 PM

เมื่อพูดถึง “การประกันคุณภาพการศึกษา” หลายคนอาจนึกถึงเอกสารหนา ๆ และเกณฑ์ที่ซับซ้อน แต่แท้จริงแล้วเรื่องนี้เกี่ยวพันกับอนาคตของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน หรือแม้แต่ประเทศชาติ เพราะคุณภาพของบัณฑิตคือตัวกำหนดทิศทางตลาดแรงงาน งานวิจัยคือสิ่งที่สร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหา และระบบคุณภาพคือสิ่งที่บ่งชี้ความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยในระดับนานาชาติ

การประกันคุณภาพไม่ใช่เพียง “งานเอกสาร” หากแต่เป็น “ระบบรักษาและพัฒนาอนาคต” ของการศึกษาไทย ทำหน้าที่ทั้งตรวจสอบ รักษามาตรฐาน และผลักดันมหาวิทยาลัยให้สร้างคุณค่าที่ตอบโจทย์สังคมได้จริง ในอดีตการประกันคุณภาพถูกมองว่าเป็นการทำเพื่อให้ผ่านการประเมิน แต่โลกปัจจุบันต้องไม่หยุดแค่ ‘ถูกต้องตามมาตรฐาน’ อีกต่อไป มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนวิธีคิด จาก “ทำเพื่อผ่าน” ไปสู่ “ทำเพื่อสร้างคุณค่า” ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกมิติ

มิติผู้เรียน – มหาวิทยาลัยต้องจัดหลักสูตรที่ทันสมัย เน้นทักษะที่จำเป็น เช่น ภาษาอังกฤษ ดิจิทัล และคุณธรรม เพื่อให้บัณฑิตพร้อมสำหรับโลกการทำงานจริง มิติชุมชนและสังคม – งานวิจัยและนวัตกรรมต้องสามารถนำไปใช้ได้จริง เช่น การพัฒนาด้านอาหาร สุขภาพ หรือสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตผู้คน มิติประเทศ – มหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการสร้าง Soft Power ของไทย และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของโลก

‘คุณภาพการศึกษาไม่ใช่แค่การวัดผลลัพธ์ในห้องเรียน แต่คือการสร้าง “คุณค่าที่สัมผัสได้” ซึ่งสะท้อนในบัณฑิต งานวิจัย และการพัฒนาประเทศโดยรวม’

มหาวิทยาลัยสวนดุสิตคือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนในการเปลี่ยน “การประกันคุณภาพ” จากเครื่องมือควบคุม ไปสู่เครื่องมือสร้างอนาคต ผ่าน “สวนดุสิตโมเดล” ที่ทำให้คุณภาพกลายเป็นสิ่งที่ผู้เรียนและสังคมรับรู้ได้จริง ด้านผู้เรียนและบัณฑิต นักศึกษา

สวนดุสิตไม่ได้เรียนเพียงในห้อง แต่ได้ฝึกจากสถานการณ์จริงใน “ธุรกิจวิชาการ” ของมหาวิทยาลัย เช่น โฮมเบเกอรี่ โรงแรมสวนดุสิต เพลส โรงงานแปรรูป และโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ การเรียนรู้เชิงปฏิบัติทำให้นักศึกษามีสมรรถนะครบถ้วน เมื่อสำเร็จการศึกษาอัตราการมีงานทำสูงกว่า 72% และศิษย์เก่าได้รับรางวัลทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เหล่านี้คือหลักฐานของคุณภาพที่วัดได้จริง

ด้านวิจัยและนวัตกรรม งานวิจัยด้านอาหารและการบริการของสวนดุสิตประสบความสำเร็จในเวทีโลก เช่น รางวัล Platinum และ Gold ที่เจนีวาและไต้หวัน รวมถึงรางวัลจากการแข่งขันทำอาหารระดับนานาชาติที่นักศึกษาคว้ามาได้ การันตีว่าคุณภาพการศึกษาไม่ได้หยุดอยู่แค่ภายในประเทศ แต่ก้าวไกลสู่เวทีนานาชาติ

ด้านบริการวิชาการและชุมชน โครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบสุพรรณบุรีที่ใช้แนวคิด “From Farm to Table” และ
Soft Power ไทย คือกรณีที่แสดงให้เห็นว่าการประกันคุณภาพสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิชาการเข้ากับการยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นได้จริง ทั้งในมิติอาหาร การท่องเที่ยว และภูมิปัญญา

ด้านวัฒนธรรมและ Soft Power เพียง 1 ปี มหาวิทยาลัยจัดโครงการด้านวัฒนธรรมกว่า 35 โครงการ และโครงการ Soft Power ถึง 17 โครงการ เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้หลายเท่า แสดงให้เห็นว่าสวนดุสิตไม่เพียงรักษามรดกทางวัฒนธรรม แต่ยังสร้าง อัตลักษณ์ร่วมสมัยที่สังคมยอมรับ

อีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญของ “สวนดุสิตโมเดล” คือ สำนักกิจการพิเศษ ที่ดำเนินงานมากว่า 30 ปี เริ่มจากธุรกิจวิชาการ เช่น โรงแรมสวนดุสิต เพลส ครัวสวนดุสิต และศูนย์บริหารกายเพื่อสุขภาพ จุดเด่นคือเป็นพื้นที่ให้นักศึกษาเรียนรู้จริง ขณะเดียวกันก็ให้บริการแก่สังคม สิ่งที่ทำให้สำนักกิจการพิเศษเติบโตอย่างยั่งยืน คือการมีระบบประกันคุณภาพที่เข้มแข็ง ไม่ใช่เพียงควบคุมมาตรฐาน แต่ทำหน้าที่กำกับ ติดตาม และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จนสามารถยกระดับจาก “หน่วยบริการ” ไปสู่ “ธุรกิจนวัตกรรม” ที่ทันสมัย ตอบโจทย์ทั้งด้านอาหาร สุขภาพ การบริการ และ Soft Power ของไทย

กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า หากมหาวิทยาลัยมีระบบคุณภาพเป็นรากฐาน ก็สามารถต่อยอดสู่การสร้างนวัตกรรมและคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมได้จริง ความสำเร็จของการประกันคุณภาพไม่ควรวัดเพียงจากคะแนนประเมิน แต่ต้องดูว่า “สังคมได้รับประโยชน์อะไร” ตัวอย่างเช่น โครงการ “อิ่มท้องสมองแล่น” จัดอาหารเช้าราคาย่อมเยาให้นักศึกษา ลดภาระค่าใช้จ่าย และช่วยเสริมสมาธิในการเรียน โครงการ “อิ่มรับน้อง พร้อมชีวิตมหาลัย” ดูแลนักศึกษาใหม่ทั้งด้านกายและใจ ตั้งแต่ก้าวแรกสู่รั้วมหาวิทยาลัย และบริการวิชาการจากคณะต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างองค์ความรู้ใหม่ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โครงการเหล่านี้คือ “คุณค่า” ที่ผู้เรียนและสังคมสัมผัสได้ ไม่ใช่แค่คำสวยหรูบนรายงานการประเมิน

แม้มหาวิทยาลัยจะประสบความสำเร็จหลากหลายด้าน แต่โลกการศึกษายังคงเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ เช่น การเปิดหลักสูตรนานาชาติ การพัฒนาการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการวิจัยที่สอดคล้องกับ SDGs ดังนั้น การประกันคุณภาพในอนาคตจะต้องเปลี่ยนจาก “เกณฑ์” ไปสู่การสร้าง “ความเชื่อมั่น” (Trust) ว่ามหาวิทยาลัยไทยสามารถแข่งขันในระดับโลก และผลิตบัณฑิตที่มีทั้งความรู้ ทักษะ และคุณธรรม

การประกันคุณภาพมหาวิทยาลัยไม่ใช่ภาระ ไม่ใช่ขั้นตอนที่ต้องทำเพื่อผ่านการประเมิน แต่คือ “การลงทุนด้านคุณภาพ” ที่คืนกลับมาในรูปบัณฑิตคุณภาพสูง ชุมชนที่เข้มแข็ง และสังคมที่ยั่งยืน กรณีสำนักกิจการพิเศษของสวนดุสิตในรอบ 30 ปี คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าหากมีรากฐานคุณภาพที่มั่นคง มหาวิทยาลัยสามารถเติบโตจากธุรกิจวิชาการไปสู่ธุรกิจนวัตกรรมได้จริง และเป็นภาพสะท้อนของการก้าวจาก “เกณฑ์” สู่ “คุณค่า” ที่จะเปลี่ยนอนาคตการศึกษาไทยให้แข่งขันได้แน่นอน

 

 ผศ.ดร.พิทักษ์ จันทร์เจริญ

อธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.