เปิด 6 สาเหตุทำดัชนีเชื่อมั่นอุตฯร่วงต่อเนื่อง จับตา ‘คนละครึ่ง’ พยุงกำลังซื้อปลายปี
GH News September 17, 2025 05:00 PM

ส.อ.ท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม 2568 ยังร่วงต่อเนื่อง หลังการเมืองเปลี่ยน เบิกจ่ายงบอืด เจรจาภาษีทรัมป์ค้าง หวังปลายปีมาตรการคนละครึ่งช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 86.4 โดยปรับตัวลดลงจากระดับ 86.6 ในเดือนกรกฎาคม 2568

นาวา จันทนสุรคน
นาวา จันทนสุรคน

ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ภายหลังจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้สถานะนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รวมถึงการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567-สิงหาคม 2568) ซึ่งมีการเบิกจ่ายล่าช้า

นอกจากนี้ ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับอัตราภาษีของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Regional Value Content (RVC) หรือสินค้าที่เปิดตลาดให้สหรัฐ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและนำเข้า อีกทั้งสถานการณ์การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงส่งผลให้การค้าชายแดนได้รับผลกระทบ และคาดว่าจะก่อให้เกิดการสูญเสียมูลค่าทางการค้าในเดือนสิงหาคมกว่า 14,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะเดียวกันยังพบว่าสถานการณ์น้ำท่วมซ้ำซากจากพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้าและการเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงการที่แรงงานกัมพูชาทยอยเดินทางกลับประเทศ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระยะสั้นในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น

อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคมยังมีปัจจัยบวกหลายประการ ได้แก่ การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เหลือ 1.50% ต่อปี ซึ่งช่วยบรรเทาภาระทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้อนุมัติงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.85 หมื่นล้านบาท โดยจัดสรร 1 หมื่นล้านบาท เข้าสู่กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันยอดขายรถยนต์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการจัดงาน BIG Motor Sale 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,350 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนสิงหาคม 2568 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 72.6% นโยบายภาครัฐ 60.4% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 45.7% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก 61.0% การเข้าถึงสินเชื่อ 35.1% ราคาพลังงาน 32.4% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 26.1%

ขณะที่ดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 88.9 ลดลงจาก 89.2 ในเดือนกรกฎาคม 2568 เนื่องจากความกังวลต่อความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ อาจกระทบต่อการดำเนินนโยบายสำคัญ

อาทิ การเจรจาภาษีกับสหรัฐ การแก้ปัญหาชายแดน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอุปสงค์จากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มลดลง หลังการบังคับใช้มาตรการ Reciprocal Tariff ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและส่งออกของไทย ประกอบกับความเสี่ยงการถูกเก็บภาษี 40% จากความไม่ชัดเจนของเงื่อนไขสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะช่วยประคับประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง คาดว่าจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และเพิ่มการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วง High season (ช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568) คาดว่าจะส่งผลดีต่อการใช้จ่าย และการบริโภคสินค้า

ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ 1.เสนอให้ภาครัฐเร่งติดตามข้อสรุปเกี่ยวกับเงื่อนไขภาษี Reciprocal Tariff โดยเฉพาะประเด็น Regional Value Content (RVC) รวมถึงรายการสินค้าที่ไทยจะเปิดตลาดให้สหรัฐ เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมในการรับมือผลกระทบ

2.ขอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณด้านรายจ่ายลงทุนในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569

3.เสนอให้ภาครัฐเร่งรัดการออกมาตรการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเป็นรูปธรรม เช่น สามารถนำรายจ่ายค่าขนส่งและโลจิสติกส์ส่วนเพิ่มมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า เป็นต้น

4.ขอให้ภาครัฐปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนการนำวัสดุที่เหลือใช้และผลิตภัณฑ์พลอยได้ไปใช้ประโยชน์ในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.