อนุกมธ.ศิลปะ ชง ‘เก็บภาษี’ แพลตฟอร์มต่างประเทศ ซัพพอร์ตอุตสาหกรรมบ้านเรา – เสียดายโอกาส หลายเรื่อง ‘ติดท็อปโลก’ หวังสอดแทรกวัฒนธรรม – เชื่อดัน ‘หนังไทย’ เริ่มจากดูแลฟรีแลนซ์ กฎหมายแรงงานต้องเข้า – ปรับ พ.ร.บ.ให้ทันยุค
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่ห้องประชุม 402-403 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา โดยคณะอนุกรรมาธิการด้านศิลปะสร้างสรรค์ จัดงานเสวนาเชิงวิชาการ เรื่อง “กฎหมายภาพยนตร์ : ความท้าทายและการปรับตัว”
บรรยากาศเวลา 11.30 น. มีการนำชมเครื่องยอดอาคารรัฐสภา ก่อนเข้าสู่พิธีเปิดการเสวนา โดย ศ. ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านศิลปะสร้างสรรค์ กล่าวรายงาน ต่อด้วย นางเอมอร ศรีกงพาน ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา กล่าวเปิดการเสวนา
จากนั้นเวลา 13.30 น. นายสุนทร พฤกษพิพัฒน์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่สอง นำเสนอผลการศึกษาและข้อเสนอแนะมาตรการในการ ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย
โดยกล่าวว่า เพื่อให้ภาพยนตร์ไทยก้าวกระโดด แบ่งออกเป็น 3 หมวด คือ
1.ด้านบุคลากร จากการศึกษา แบ่งได้คร่าวๆ ว่ามีทั้งแรงงานที่มีสังกัด และไม่มีสังกัด และไม่มีสังกัด แรงงานฟรีแลนซ์คือจุดที่เป็นปัญหา ทั้งฝ่ายโปรดักส์ชั่นและสแตนด์อิน บางครั้งถูกใช้งานมากกว่า 24 ชม.ไม่ได้พัก
เราจึงศึกษาว่าควรดูแลแรงงานฟรีแลนซ์ให้มากขึ้นได้อย่างไร เพราะในวันข้างหน้า อาจกลายเป็นดาราใหญ่ อย่างคุณจาพนม ยีรัมย์ จากสแตนด์อิน กลายเป็นดาราอินเตอร์ ทำอย่างไรให้เข้าสู่ในระบบ หรือระบบเข้าไปดูแลได้
“รวมถึง ฝึกในทักษะใหม่ๆ ให้กับบุคคลากร ไม่ว่าจะเป็นฉากฉันตราย ต่อสู้ ควรมีการคุ้มครอง รวมถึงส่งเสริมให้ได้ลิขสิทธิ์ฉายซ้ำ หมายรวมไปถึงนักแสดง ตัวประกอบ ดาราตัวเล็กๆ ด้วย” นายสุนทรกล่าว
ด้านที่ 2.องค์กรและการบริหารจัดการ เรามีส่วนที่แข็งแรงที่สุด คือ สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ซึ่งจากการศึกษา ประกอบด้วยหลายหน่วยงาน โดย กระทรวงวัฒนธรรม ดูจะเป็นหน่วยงานหลัก แต่ยังเกี่ยวพันกับทั้ง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ทำอย่างไรให้บูรณาการได้
“เรากำลังพัฒนา พ.ร.บ.วัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) เพื่อรวมหน่วยงานต่างๆ เข้ามาอยู่ในร่มนี้” นายสุนทรระบุ
นายสุนทรกล่าวว่า สมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ ดูเหมือนจะแข็งแรงมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ อย่าง ต้นทุนผลิต หรือรายได้จากการฉายหนังที่แท้จริง จึงทำให้ในธุรกิจอุตสาหกรรม ยังหามูลค่าที่แท้จริงไม่ได้ ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของบ้านเรา มูลค่าเป็นพัน หรือหมื่นล้าน
จึงอยากขอความร่วมมือ แสดงความเห็น ว่าเราพัฒนาระบบได้อย่างไร เพื่อแจ้งต้นทุนที่แท้จริงไว้ได้ เพื่อที่ภาครัฐจะสนับสนุนแนวทางต่อไป
“ที่สำคัญ สถานะของคนที่ฉายภาพยนตร์ เบสิคเลยคือ ตัวกระจายภาพยนตร์ให้เข้าถึงประชาชน ซึ่งเรียกได้ว่าดีมากที่มีโรงหนังกระจายเต็มไปหมด จากที่ลิโด้ สกาล่า ก็มีโรงภาพยนตร์ขนาดย่อมลงมา รวมถึง ไมโครซิเนม่า หรือระบบสตรีมมิ่ง ที่โรงหนังเข้าไปอยู่ในบ้านของทุกคน ผลิตไปเผยแพร่ในสตรีมมิ่ง ก่อนเข้าโรงด้วยซ้ำ ซึ่งในต่างประเทศก็มีลักษณะแบบนี้
หนังไทยหลายเรื่องติดท็อปของโลก หลายเรื่อง เสียดายโอกาส ที่เราไม่ได้สอดแทรกวัฒนธรรมของไทย เข้าไปมากเพียงพอ” นายสุนทรกล่าว
นายสุนทรยังกล่าวถึง ข้อเสนอของ องค์กรและการบริหารจัดการ คือ การปรับโครงสร้างบริหารงานภาครัฐให้เป็นองค์กรกลางในด้านภาพยนตร์, งบสนับสนุนอุตสาหกรรมให้ต่อเนื่อง, ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับระบบนิเวศของภาพยนตร์ไทย, การส่งเสริมการศึกษาศิลปวิจักษ์ (Art appreciation) รวมถึงการส่งเสริมโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก (Micro Cinema) ตลอดจนส่งเสริมความหลากหลายและพบโอกาสให้ผู้เล่นรายเล็ก การฉายในเทศกาล เป็นต้น
“สิ่งสำคัญคือ ไมโครซิเนมา ให้ผู้กำกับ โปรดักชั่นรายเล็กรายน้อยเข้ามา เป็นจุดที่สำคัญมาก เพื่อให้รายเล็กเติบโตได้ รายใหญ่ก็มีความก้าวหน้าอยู่แล้ว” นายสุนทรเผย
ด้านที่ 3.กฎหมายและนโยบาย พ.ร.บ.ภาพยนตร์ มีมาตั้งแต่ปี 2551 ที่ผ่านมา สภาพสังคมและ เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมาก จึงต้องมีการปรับปรุง พ.ร.บ. ให้ทันสมัย กับระบบสตรีมมิ่ง
“อีกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ การส่งเสริมโรงหนังขนาดเล็ก ให้ชุมชนได้ดูหนังหลากหลาย แนวอิสระมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ยังขาดเรื่องใบอนุญาต
พ.ร.บ.ที่มีอยู่ ครอบคลุมเฉพาะโรงหนังขนาดใหญ่เท่านั้น จึงคิดว่าควรมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายโรงหนังขนาดเล็ก ”
“อีกด้านคือ ‘แรงงานอิสระ’ ที่ยังไม่ได้รับการดูแล ตามกฎหมายแรงงาน และ พ.ร.บ.ประกันสังคม ที่จะต้องมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
นายสุนทรกล่าวว่า นอกจากนี้ยังรวมถึง ‘กฎหมายลิขสิทธิ์’ ที่เดี๋ยวนี้มีเอไอ บางทีเอาไปดัดแปลงเป็นเรื่องอื่นจึงต้องทำกฎหมายให้ครอบคลุม
แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เกือบจะใหญ่ที่สุด เราควรมีแนวทางกำหนดแนวทางเก็บภาษี ของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างประเทศเพื่อเอาภาษีเหล่านี้ มาพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเรา
ไทยเราประสบความสำเร็จกับหนังผี ภาพยนตร์ตลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเราจะก้าวต่อไปต้องพัฒนาแนวทางให้มีความหลากหลายมากขึ้น มีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่ดีมากๆ อย่าง ‘หลานม่า’ เป็นแนวที่ไม่จำเป็นต้องผี หรือตลก แต่มันลึกซึ้งกินใจ
หรือ เดอะสโตน ดีมากๆ ตรงนี้มันสอดแทรก ตัวอุตสาหกรรมพระเครื่องเข้าไปได้เลย เป็นแนวทางที่ดี หรืออย่างระบบขนส่งแฟลช ในเรื่อง ‘สงครามส่งด่วน’ ผมคิดว่าภาพยนตร์ไทยพัฒนาไปไกลระดับหนึ่งมากๆ โดยเฉพาะสตรีมมิ่ง จะทำอย่างไร ให้ภาพยนตร์เหล่านี้ กระจายไปสู่โรงฉาย และทั่วโลกได้
อาจจะต้องมีการทำฟิล์มมาร์เก็ต ในเทศกาลภาพยนตร์ สำหรับคนที่มาแลกเปลี่ยนซื้อหนังของเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องฟังเสียงคนในวงการจริงๆ
ทาง กมธ. ของเรามีความตั้งใจ ที่อยากจะแก้ไขเรื่องเหล่านี้ ทำอย่างไรให้ภาพยนตร์ไทยไปสู่ภาพยนตร์โลก มีส่วนท้าทายอย่างไรที่จะพลิกโฉมภาพยนตร์ไทยได้” นายสุนทรกล่าว
ต่อมาเวลา 14.00 น. เข้าสู่เสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัวข้อ ‘เสียงสะท้อนจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย’ โดย น.ส.ราณี อิฐรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, น.ส.สุพัฒนา ศักดิ์ปิยะพันธ์ หัวหน้ากลุ่มวิชาการและประสานความร่วมมือ กองกิจการภาพยนตร์และวิดีทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยวและกีฬา (TFO Thailand Film Office) , นายโชคชัย ชยวัฑโฒ รองเลขาธิการสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ (THACCA), นายณัฏฐ์ กิจจริต หรือ นัท นายกสมาคมนักแสดงแห่งประเทศไทย, นายชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล นายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ดำเนินการเสวนา โดย นายวัชรบูล ลี้สุวรรณ อนุกรรมาธิการด้านศิลปะสร้างสรรค์
ก่อนเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมเสวนา