‘เท้ง’ แจง ‘ปชน.’ วางแคนดิเดต 3 คนตามลำดับ กันข้อครหา ‘นายกฯ กล่องสุ่ม’ ยันไปต่อได้ แม้มีคดี 44 สส. ปัดจะจับกับใคร ‘เพื่อไทย’ หรือ ‘ภูมิใจไทย’ หากต้องเป็น ‘รัฐบาลผสม’ ร้องโห ขออนุญาตไม่ตอบ บอกขอใช้วิธีการทูต ไม่จําเป็นต้องเลือกข้าง
23 พ.ย.2568-นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน(ปชน.) กล่าวถึงการเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ปชน.ได้แก่ นายณัฐพงษ์, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคประชาชน และนายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคฝ่ายยุทธศาสตร์ พรรคประชาชนว่า ตามนโยบายของพรรค เราเลือกคนที่เหมาะสมกับตำแหน่ง และยึดมั่นตามไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก ซึ่งนายวีระยุทธ ทำนโยบายด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม สอดแทรกไทยไปให้เท่าทันโลก จึงจะช่วยดูแลส่วนนี้ ส่วนนางสาวศิริกัญญา จะมาดูแลเรื่องการปฏิรูประบบราชการ สิ่งเหล่านี้จะแก้ไม่ได้ ถ้าไม่แก้เรื่องโครงสร้าง จะทำอย่างไรให้การกระจายงบประมาณ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การจะแก้เรื่องนี้ได้คนที่อยู่สูงสุดของประเทศ ต้องเอาจริงกับเรื่องนี้ ไม่ใช่เฉพาะการจัดการกับคนที่ไม่ได้อยู่ในพรรคพวกตัวเอง แต่รวมไปถึงถ้าคนในกลุ่มของตัวเอง คนในพรรคการเมืองของตัวเอง รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีของตัวเองขึ้นมาทำผิดกฎหมายทุจริตคอรัปชัน ต้องกล้าจัดการ เพราะเมื่อใดก็ตาม คุณไม่กล้าจัดการ คุณไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างทั้งโครงสร้างได้ ดังนั้น ตนเองขอรับผิดชอบประกาศเป็นคำมั่นสัญญากับทุกคน คือทำให้ไทยไม่เทา กำจัดทุจริตคอรัปชันให้หมดไปทั้งประเทศ
“นี่เป็นโฉมหน้าทำงานของพวกเราในอนาคต เราทำงานเป็นทีม และบอกลำดับชัดเจน เพราะเราเชื่อว่า การนำเสนอตัวในการเลือกตั้ง เราไม่อยากให้เป็นนายกฯ กล่องสุ่ม ไม่ใช่ให้ประชาชนเข้าคูหา และเดาว่าใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไป เราต้องการตรงไปตรงมากับประชาชน และคุณต้องรู้เลยว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ใครจะเป็นเบอร์สอง และเบอร์สาม และพวกเราจะทำงานหนัก เพื่อร่วมทีมช่วยกันส่งต่อประเทศไทยที่ไม่เทา เท่ากัน และทันโลก”
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เรากลายมาเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่งได้ แต่ยังมีกลไกของรัฐเสียง สว. และข้ออ้างต่าง ๆ ทางการเมืองที่ทำให้เรายังไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ครั้งหน้ากลไกต่าง ๆ เหล่านั้นเริ่มหายไปแล้ว สว. โหวตนายกฯ ไม่ได้แล้ว เงื่อนไขทางการเมืองอื่น ๆ เริ่มขยายล็อคลงไปบ้างแล้ว สิ่งที่ที่สำคัญคือการที่เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้ใบอนุญาตที่หนึ่งมา เพื่อให้พวกเขาปฏิเสธไม่ได้ เราต้องได้ 20 ล้านเสียง ถ้าเราได้ครึ่งหนึ่งของคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งเลือกพรรคประชาชน จะไม่มีใครปฏิเสธการเป็นรัฐบาลของพวกเราได้อีก
”ส่วนคำถามว่า จะเป็นเมื่อไหร่นั้น ไม่ใช่เราสามคนที่รู้ ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเกิดขึ้นไหม แต่คือประชาชนทุกคน จึงขอการเลือกตั้งครั้งหน้า ขอให้ทุกคนช่วยกัน ส่งต่อพลังรณรงค์ ช่วยกันทำความเข้าใจ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงแล้วจริง ๆ“
จากนั้นได้เปิดให้สื่อมวลชนสอบถาม โดยเมื่อถามถึงเหตุผลในการเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้งสองคน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การเลือกตําแหน่งในฝ่ายบริหารสูงสุดอย่างเครดิตนายกรัฐมนตรี อาจจะใช้กระบวนการที่เรียกว่า ต้องรักษาสมดุลระหว่างกระบวนการตัดสินใจฝ่ายบริหาร และการมีส่วนร่วม ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่าไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องของตําแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ชัดเจนตั้งแต่เรื่องการเลือกฝ่ายบริหาร เช่นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ผ่านมา ก็แตกต่างกับตําแหน่งอื่นๆ
“กระบวนการที่ผ่านมา เชื่อว่า ทั้ง 2 ชื่อนี้ เป็นชื่อที่ทุกคนให้การยอมรับ ทั้งสมาชิกภายในพรรค และทุกคนที่อยู่ในภายในห้องนี้ รวมถึงโหวตเตอร์ของพรรคด้วย จึงเชื่อว่า การตัดใจตําแหน่งสําคัญๆ แบบนี้ ต้องใช้อํานาจฝ่ายบริหารระดับหนึ่ง แต่ผมเชื่อมั่นว่า ผมตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง”
เมื่อถามในทางการเมือง ซึ่งถูกมองว่านายณัฐพงษ์ และน.ส.ศิริกัญญา อยู่ในรายชื่อคดี 44 สส. มีเพียงนายวีระยุทธที่ไม่อยู่ จะมีการบริหารจัดการอย่างไร เพื่อไม่ให้การเรียงลําดับมีปัญหา นายณัฐพงษ์ มองว่า เรื่องคดี 44 สส.อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ซึ่งตนเชื่อว่าการที่พวกเราลงชื่อในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นการใช้อํานาจหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในฐานะ สส. หากประเมินเช่นนี้ พวกเราตัดสินใจในการเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทั้ง 3 คนดูตามความเหมาะสม ความรู้ ความสามารถ ส่วนเรื่องการประเมินความเสี่ยงทางการเมือง เรามีการประเมินไปด้วย แต่ยังเชื่อว่า พวกเราบริสุทธิ์ยุติธรรมในสิ่งนี้ เรื่องการแก้ไขกฎหมายที่ผ่านมา จึงไม่ได้เลือก 1 หรือ 2 ท่านที่อยู่ข้างตน ด้วยการที่พยายามหลบเลี่ยงประเด็นทางการเมือง
“เมื่อถึงวันนั้น หากมีคําตัดสินออกมาจริงๆ ซึ่งผมและนางสาวศิริกัญญาอยู่ในคดีนี้ หากมีอุบัติเหตุทางการเมือง เราก็พร้อมที่จะไปต่อ และผมเชื่อว่า ทีมงานของพรรคประชาชนทุกคนในขณะนี้ เรายังมีบุคลากรที่มีความสามารถอยู่ ในการทําหน้าที่”
เมื่อถามว่า หากไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ทั้ง 2 คนจะอยู่ในคณะรัฐมนตรีด้วยใช่หรือไม่ และจะอยู่ในกระทรวงใด นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนพูดได้เต็มปากว่า ต้องอยู่ในคณะรัฐมนตรีฝ่ายบริหารอยู่แล้ว แต่จะอยู่ในกระทรวงใด ขอรอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง
ถามว่า รอบหน้าถ้าเกิดกรณีที่ต้องเป็นพรรครัฐบาลผสมจริงๆ แบบเลือกไม่ได้ จะจับกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องการจับมือ ขอยกตัวอย่าง กรณีการทูตเป็นหลัก ในขณะที่ระดับโลก เราบอกไม่จําเป็นต้องเลือกข้าง แต่เราเลือกวาระ ตนเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
“จริงๆ เราเอาโจทย์สําคัญของประเทศเป็นตัวตั้ง ทุกนโยบายที่เราเสนอมาใน 2 วันนี้ หากไม่ได้เป็นพรรคการเมืองที่มีผู้สืบทอดอํานาจมาจากการปฏิวัติรัฐประหารโดยตรง หรือเป็นผู้บริหารพรรค หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว หากยอมรับนโยบายของเราได้ เราก็คงกาง TOR เหมือนกัน เหมือนตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เปิดเผยให้ประชาชนเห็นโปร่งใส ตรงไปตรงมา พูดคุยกับเราอย่างรวดเร็ว จริงใจ ก็มีความเป็นไปได้หมด หากมีคนยื่นซองมากกว่าหนึ่งคน ก็ต้องพิจารณาว่าใครที่สามารถร่วมงานกับเราได้อย่างตลอดรอดฝั่ง”
ถามถึงกรณีนายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดตัวร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย จะถือว่าผิด MOA หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนขอไม่ตอบแทน ว่าตกลงผิดหรือไม่ผิด เพราะทุกอย่างอยู่ในกรอบ MOA อยู่ ตราบใดที่ถ้ามีข่าวมาว่าจะมีการยื่น 151 หรือชิงยุบสภาก่อน แปลว่าพรรคภูมิใจไทยยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่ ดังนั้นหากดูตามบริบทการเมืองปัจจุบัน หรือการให้สัมภาษณ์ต่างๆ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตนเชื่อว่า เขายังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่ เรายังมีอํานาจในการกํากับดูแลตรงนั้นอยู่
ส่วนเรื่องการดึง สส.ต่างพรรคเข้าไปมากขึ้นหรือที่เรียกว่าพลังดูดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พรรคประชาชนทําในทางการเมือง เราทํางานการเมืองในฐานะคนธรรมดาที่มาร่วมกันทางการเมืองสร้างความเปลี่ยนแปลง พรรคไหนจะดูดกันยังไง ใครเป็นรัฐบาลจะได้ สส.มากขึ้น ก็ให้เขาทําไป เป็นเรื่องของเขา เราทําในรูปแบบของเรา
ถามว่าหากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดจากพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชนจะช่วยโหวตหนุนรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ต้องขอดูเนื้อหาในการอภิปรายก่อน เรายึดเรื่องเนื้อหาการอภิปรายเป็นตัวตั้ง หากพรรคเพื่อไทยมีของจริง ไม่ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยเกมทางการเมือง ที่รัฐมนตรีผู้ถูกอภิปรายแต่ละท่านนั้นไม่ไหวจริงๆ มีข้อมูลที่ทุจริต คอร์รัปชันจริง ตนและเพื่อนร่วมพรรค ก็คงไม่สามารถหนุนได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดูของก่อน
เมื่อถามว่าหากไม่ได้ 250 เสียง จะมีเงื่อนไขใดบ้างที่จะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า เอาวาระเป็นตัวตั้ง ส่วนรายละเอียดต้องรอเข้าสู่การเลือกตั้ง รอดูการตอบคําถามในเวทีดีเบตว่า แต่ละพรรคเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับวาระของพรรคประชาชนอย่างไร เมื่อถามต่อว่าแล้วพรรคเพื่อไทยร่วมได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ร้องโห ก่อนกล่าวว่า ขออนุญาตยังไม่ตอบ
เมื่อถามถึงระบบการคัดผู้สมัคร ตอนนี้เริ่มมีดรามาเกี่ยวกับระบบการคัดเลือก อาจจะมีเด็กเส้น คนที่เข้ารอบสุดท้ายไม่ได้รับเลือก จะแก้อย่างไร นายณัฐพงษ์ กล่าวยืนยันว่า เรื่องกระบวนการในการคัดเลือก เรามีความโปร่งใส และมีส่วนร่วมมากที่สุดพรรคการเมืองพรรคหนึ่งในประเทศ ซึ่งในความเป็นพรรคที่มีความเป็นประชาธิปไตยในพรรคสูง ก็เป็นเรื่องที่อาจมีการส่งเสียงสะท้อนออกมา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า พรรคไม่ใช่ผู้กุมบังเหียนในการแสดงความคิดเห็นความเห็นของใคร
“คนที่รู้สึกผิดหวังกับกระบวนการที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเรามองเห็น และให้กําลังใจต่อ แต่ยืนยันว่าในฐานะผู้บริหาร เราพยายามออกแบบกลไกที่มีส่วนร่วม และเปิดกว้างให้กับทุกคนมากที่สุด ถ้าจะขอเรียกร้องกลับไปเพียงแค่อย่างเดียวคือ ลองถามทุกคนที่เข้ามาเป็นแคนดิเดตของพรรค ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันว่า คุณเข้ามาสมัครเป็นแคนดิเดตเพราะอะไร ถ้าคุณบอกว่า คุณอยากมาช่วยกันสร้างการเปลี่ยนแปลง การเป็น สส. คือหมวกหนึ่งใบที่คุณพร้อมถอดได้เสมอ วันนึงที่ถ้าคุณไม่ได้ถูกเลือกเป็นแคนดิเดต สส. ก็ยังมีแห่งที่อีกเยอะ ที่จะมาช่วยกันขับเคลื่อนงานการเมือง โดยที่ไม่ใช่ สส.ก็ได้ ต้องถามใจตัวเองว่า คุณอยากมาทํางานเพราะอะไร “