“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กำลังเดินหน้าไล่ล่าแชมป์ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2024-25 หลังเกมล่าสุดบุกชนะ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า 4 สมัยติด ถึงถิ่น เอติฮัด สเตเดียม 2-0 พร้อมนำห่างรองจ่าฝูง “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ถึง 11 แต้ม แม้จะแข่งมากกว่าอยู่ 1 นัด
สิ่งที่พอจะพูดได้ในตอนนี้คือ “ลิเวอร์พูล” มีโอกาสและความหวังสูงมาก ที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งในฤดูกาลแรกของ “อาร์เน”
เพราะการพลาดท่า แพ้คาบ้านเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ต่อ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และการบุกไปเอาชนะ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ “ลิเวอร์พูล” กลายเป็น “Turning Point” จุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างมากต่อการลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้
ตลอดเกมทั้ง 90 นาทีที่ “เอติฮัด สเตเดียม” บรรดานักเตะของทีม “ลิเวอร์พูล” ต่างเร่งเร้าแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะบุกมาเพื่อเอาชนะให้ได้ในเกมนี้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทีมที่คิดจะเป็นแชมป์คือ “ความสม่ำเสมอ” และ “ลิเวอร์พูล” คือทีมที่สม่ำเสมอที่สุด แข็งแกร่งที่สุด เฉียบขาดที่สุด มากกว่าใครในฤดูกาลนี้
สถานการณ์ปัจจุบัน หาก “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล อันดับ 2 ชนะรวดในอีก 12 นัดที่เหลือ จะมี 89 คะแนน หมายถึง “ลิเวอร์พูล” ที่ปัจจุบันมี 64 คะแนน ต้องการอีก 26 คะแนน ก็จะการันตีการคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้ หรือเทียบง่ายๆ คือขอแค่ชนะ 9 จาก 11 นัดที่เหลือ ทุกอย่างก็ “ปิดจ๊อบ” เรียบร้อย
แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของ “อาร์เตตา” คืออาการบาดเจ็บของผู้เล่นมากมายตลอดฤดูกาล โดยเฉพาะแนวรุกที่จู่ๆ ก็เหมือนเข้าปีชง ทยอยเจ็บหนักไปทีละราย ตั้งแต่ บูกาโย ซากา ปีกเสาหลักที่กล้ามเนื้อด้านหลังโคนขา (แฮมสตริง) ฉีกขาดรุนแรง ต้องพักการเล่นมาตั้งแต่เดือนธันวาคม โดยยังไม่มีแววว่าจะกลับมาได้เมื่อไร ก่อนที่ กาเบรียล เชซุส จะเอ็นไขว้เข่าฉีกขาด ต้องพักยาวอีกร่วมปี และมาเสีย กาเบรียล มาร์ติเนลลี กับ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ไปอีกในช่วงเก็บตัวกลางฤดูกาลที่ดูไบ โดยรายหลังปิดม่านฤดูกาลไปอีกราย
โดยโปรแกรมการแข่งขันช่วงโค้งสุดท้ายของ “ลิเวอร์พูล” จ่าฝูง และ “อาร์เซน่อล” อันดับ 2 ของตาราง โดย “หงส์แดง”เหลือ 11 เกม เริ่มจาก วันที่ 26 กุมภาพันธ์ : นิวคาสเซิ่ล (เหย้า) วันที่ 8 มีนาคม : เซาธ์แฮมป์ตัน (เหย้า) วันที่ 2 เมษายน : เอฟเวอร์ตัน (เหย้า)วันที่ 5 เมษายน : ฟูแลม (เยือน) วันที่ 12 เมษายน : เวสต์แฮม (เหย้า) วันที่ 19 เมษายน : เลสเตอร์ (เยือน) วันที่ 26 เมษายน : สเปอร์ส (เหย้า) วันที่ 3 พฤษภาคม : เชลซี (เยือน) วันที่ 10 พฤษภาคม : อาร์เซน่อล (เหย้า)วันที่ 18 พฤษภาคม : ไบรท์ตัน (เยือน) วันที่ 25 พฤษภาคม : คริสตัล พาเลซ (เหย้า)
ส่วน “อาร์เซน่อล” เหลือ 12 เกม เริ่มจาก วันที่ 26 กุมภาพันธ์ : น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ (เยือน) วันที่ 9 มีนาคม : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เยือน)วันที่ 16 มีนาคม : เชลซี (เหย้า) วันที่ 1 เมษายน : ฟูแล่ม (เหย้า) วันที่ 5 เมษายน : เอฟเวอร์ตัน (เยือน)วันที่ 12 เมษายน : เบรนท์ฟอร์ด (เหย้า) วันที่ 19 เมษายน : อิปสวิช (เยือน) วันที่ 26 เมษายน: คริสตัล พาเลซ (เหย้า) วันที่ 3 พฤษภาคม : บอร์นมัธ (เหย้า) วันที่ 10 พฤษภาคม : ลิเวอร์พูล (เยือน) วันที่ 18 พฤษภาคม : นิวคาสเซิ่ล (เหย้า) วันที่ 25 พฤษภาคม : เซาธ์แฮมป์ตัน (เยือน)
จากโปรแกรมนี้ บรรดา แฟนบอลของทั้ง 2 ทีม คงต้องลุ้นกันว่า สุดท้ายแล้ว ทีมใด จะเข้าป้าย คว้าแชมป์ไปครอบครองได้สำเร็จ แต่สำหรับ “แฟนเดอะค็อป” แล้ว จากนี้คงเป็นเวลาแห่งการนับถ้อยหลัง สู่การคว้าแชมป์ “พรีเมียร์ลีก” ของฤดูกาลนี้เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว