ปธ.สพท.หนุน ประกันสังคม เป็นองค์กรอิสระ ค้านโอนการรักษาผู้ประกันตนให้ สปสช. ดูแล
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) และประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการใช้งบประมาณจากกองทุนประกันสังคมของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ไม่เหมาะสมและผู้ประกันตนได้สิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลด้อยกว่าสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ว่า การตรวจสอบความโปร่งใสขององค์กรเป็นสิ่งที่ดี จึงมีความเห็นว่า จากนี้ไปต้องมีการตั้งคณะกรรมการ 1 ชุดมาติดตามการใช้งบประมาณของ สปส.
“มองว่า ปัจจุบัน สปส. ยังมีเสถียรภาพในการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคม และยังมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในกรณีต่างๆให้กับผู้ประกันตนได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีสถานะกองทุนฯ รวมกว่า 2.6 ล้านล้านบาท แต่การที่มีข่าวว่ากองทุนฯจะล่มสลายภายใน 30 ปี นั้น เราพูดกันมาตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว” นายมนัส กล่าว
นายมนัส กล่าวอีกว่า การที่กองทุนฯ เติบโตขึ้น ทำให้การขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนมีความคุ้มครองมากขึ้น ซึ่งมีถึง 7 กรณี คือ คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ว่างงาน เกษียณ และเสียชีวิต
“การขยายสิทธิประโยชน์เหล่านี้ ก็มาจากการเรียกร้องของประชาชน เช่น ด้านทันตกรรมเบื้องต้นเดิม 600 บาทต่อปี ขณะนี้เพิ่มขึ้นเป็น 900 บาท และในอนาคตจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 บาทต่อปี แต่การที่จะบอกว่าสิทธิประโยชน์ประกันสังคมเพียงพอสำหรับผู้ประกันตนหรือไม่นั้น ต้องดูตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ทาง สปส. ก็มีการปรับเพิ่มขึ้นตลอด” นายมนัส กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีกระแสจากหลายๆส่วน ทั้งนักวิชาการและภาคแรงงานเสนอให้สำนักงานประกันสังคม เป็นหน่วยงานอิสระ นายมนัส กล่าวว่า ตนเห็นด้วย เพราะก็มีข้อเรียกร้องมานานว่าให้ออกมาเป็นองค์กรอิสระ แต่ต้องดูให้ดีว่า หากออกจากระบบราชการแล้ว จะมีการตรวจสอบหรือการจัดการอย่างเป็นมืออาชีพได้หรือไม่ ต้องดูตามภาวะเศรษฐกิจ จะมีการวางแผนการดำเนินงานหรือลงทุนอย่างไร ต้องมีการหารือและดูรายละเอียด และอาจจะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนเข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วย
เมื่อถามถึงข้อเสนอให้โอนการรักษาพยาบาลสิทธิประกันสังคม ไปให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดูแล เพื่อหวังให้ผู้ประกันตนได้สิทธิรักษาที่เท่าเทียมกับผู้ถือสิทธิบัตรทอง นายมนัส กล่าวว่า ในความเห็นส่วนตัว ไม่เห็นด้วย เนื่องจากผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคมสามารถเลือกโรงพยาบาล (รพ.)ได้ สามารถเลือกเข้า รพ.เอกชน ในเครือข่ายประกันสังคมได้ แต่หากพบข้อเรียกร้องว่าได้รับการบริการไม่ดี ก็ต้องมีคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริการของ รพ. เอกชนนั้นๆ ต้องหาวิธีการที่จะให้บริการทางการแพทย์ให้กับคนไทยในเรื่องสุขภาพให้กระจายออกไป ไม่ใช่เป็นการกระจุกรวม
“หากเป็นสิทธิบัตรทองก็ต้องรอพบแพทย์ใน รพ.รัฐ รอคิวนาน ใช้เวลาทั้งวัน และไม่มีค่าทดแทนในการรักษาเหมือนประกันสังคม หากเป็นผู้ประกันตน เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทุพพลภาพ เป็นผู้ป่วยติดเตียง จะได้เงินค่าชดเชยจากการขาดรายได้ หรือถึงขั้นเสียชีวิต ก็จะได้ค่าทำศพ 50,000 บาท เงินสงเคราะห์การเสียชีวิต รวมถึงเงินบำนาญ-บำเหน็จ ที่ทายาทจะได้รับ สิทธิประโยชน์ประกันสังคม ครอบคลุมตั้งแต่เกิดตลอดจนเสียชีวิต หากรักษาผ่าคลอด สปส. ก็มีค่าคลอดบุตร และเงินสงเคราะห์บุตรให้ ซึ่งเดิมได้รับ 800 บาท ก็ขยายเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 1,000 บาท” นายมนัส กล่าว
นอกจากนี้ นายมนัส กล่าวว่า สปส.ขยายสิทธิมาเรื่อยๆ ดังนั้น ต้องให้ความเป็นธรรมบางเรื่องก่อนจะวิจารณ์อะไร
“สิทธิประกันสังคมก็ดีอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งไหนที่ไม่ดี ต้องปรับปรุงและพัฒนาสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมให้ดีขึ้นเรื่อยๆเท่านั้นเอง สิ่งไหนที่ดี และเป็นข้อเรียกร้องจากประชาชนเข้ามา ก็ต้องทำ ข้อคิดเห็นของประชาชนที่มีเข้ามาเป็นเรื่องที่ดี เพราะประกันสังคมเป็นกองทุนใหญ่ โดยผู้บริหาร สปส. รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต้องนำไปทบทวน และขอให้ผู้ประกันตนติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นเงินของผู้ประกันตนทั้งหมด กองทุนประกันสังคมเป็นกองทุนที่เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขของประชาชน ดังนั้น สองสิ่งนี้ มีสิทธิประโยชน์ต่างกัน เรื่องนี้จะต้องพูดกันในหลายๆมิติว่า ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิรักษาพยาบาลอะไรบ้างเมื่อเจ็บป่วย ต้องคุยกันให้ชัดเจน เพราะประชาชนตื่นตระหนกจากข่าวที่นำเสนอไป” นายมนัส กล่าว
นายมนัส กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์สิทธิประโยชน์ใดด้อยกว่ากันนั้น ตนมองว่าไม่มีสิทธิไหนดีหรือด้อยไปมากกว่ากัน ไม่ได้มองว่ากองทุนทั้ง 3 สิทธิ ทั้งบัตรทอง-ประกันสังคม-ข้าราชการ สิทธิใดน้อยไปกว่ากัน เนื่องจากมีรายละเอียดที่ต่างกัน จึงไม่เห็นด้วยกับการที่จะนำการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนไปอยู่กับบัตรทอง