ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศ โดยข้อมูลทางเศรษฐกิจชี้ว่ามีผู้ประกอบการหลากหลายขนาดมากกว่า 13,000 รายเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานในการผลิตยานยนต์ และมีแรงงานกว่า 4 แสนคนที่พึ่งพิงรายได้จากภาคส่วนนี้ รวมถึงครอบครัวของแรงงานเหล่านี้ที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์ในการดำรงชีวิตที่อาจมีตัวเลขเป็นหลักหลายล้านคน ตัวเลขที่เห็นนี้จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น
เพราะในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) หลายประเทศได้เริ่มปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน หนึ่งในมาตรการสำคัญที่หลายประเทศนำมาใช้คือการเก็บ ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) หรือการกำหนดมาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด
ภาษีคาร์บอนนอกจากจะมีการบังคับใช้ในระดับประเทศแล้ว ในกลุ่มสหภาพยุโรปยังมีการตัดสินใจร่วมกันที่จะมีการกำหนดกรอบภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน โดยมีการคำนวณภาษีคาร์บอนเข้าไปในตัวสินค้าที่นำเข้ามาภายในสหภาพยุโรปด้วย ซึ่งจะเป็นการคำนวณการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตทั้งหมดของสินค้านั้น ๆ ก่อนที่จะนำเอาไปผนวกเป็นการกำหนดภาษีต่อตัวสินค้า แรงกดดันนี้ส่งผลให้ภาคธุรกิจทั่วโลกจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของบริษัทตัวเอง
อุตสาหกรรมยานยนต์สันดาบที่ไทยเป็นผู้นำอยู่นี้กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ จากกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle – EV) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความพยายามในการลดการปลดปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศของหลายประเทศ รถยนต์ไฟฟ้าไม่เพียงแต่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า ราคามีความจับต้องได้ และที่สำคัญที่สุดคือช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างมีนัยสำคัญ
แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ประเทศไทยย่อมไม่พลาดที่จะเข้าไปร่วมในสมรภูมิการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมนี้ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลมีความพยายามอย่างยิ่งในการดึงดูดการลงทุนโดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเพื่อให้ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าได้ รัฐบาลพยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ เช่น Tesla, BYD, และ NIO ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในตลาดโลก รัฐบาลมีการเสนอ สิทธิประโยชน์ทางภาษี และ การอุดหนุนทางการเงิน สำหรับบริษัทที่ตั้งฐานการผลิตในไทย
ฉะนั้นตลอดหลายปีมานี้นับตั้งแต่เริ่มมีการผลักดันมาตรการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าว โดยเฉพาะรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีความจริงจังอย่างมากในการยกห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดมาตั้งในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการผลิตแบบครบวงจร เราพบว่ามีอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเจ้าใหญ่ของจีนจำนวนมากได้ตัดสินใจลงทุนผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาในประเทศไทย เช่น GWM และ BYD เป็นต้น ซึ่งถือว่าช่วยเข้ามาเติมเต็มยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียนได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามการส่งเสริมเพียงอุตสาหกรรมการประกอบยานยนต์ไฟฟ้าอาจยังไม่เพียงเพราะรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องมีอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องหลายอย่างที่รัฐบาลไทยจำเป็นต้องส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น เช่นการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ เพราะแบตเตอรี่เป็นส่วนประกอบสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า และมีส่วนสำคัญต่อต้นทุนการผลิต รัฐบาลควรส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออน (Lithium-ion Battery) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลักที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน นอกจากนี้ ควรมีการสร้าง ศูนย์วิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ ในประเทศไทย เพื่อดึงดูดนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมาทำงานในไทย
การพัฒนาระบบการชาร์จไฟฟ้าที่ครอบคลุมถือเป็นอีกหนึ่งโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งแก้ เพราะหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคือความสะดวกในการชาร์จไฟ รัฐบาลควรลงทุนในการสร้าง สถานีชาร์จไฟฟ้า ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่และเส้นทางคมนาคมหลัก นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า
อีกหนึ่งโจทย์สำคัญต่อเนื่องกับการขยายตัวของการเป็นศูนย์กลางรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน คือการปฏิรูปภาคพลังงานของไทยทั้งระบบ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าซึ่งปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนจำนวนมาก แผนพลังงานไฟฟ้าของไทยในปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญกับก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอนของประเทศ รัฐบาลควรปรับแผนพลังงานใหม่โดยเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งมีต้นทุนที่ถูกลงอย่างมากในปัจจุบัน นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการติดตั้ง ระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ซึ่งหากแนวทางการปรับสัดส่วนพลังงานของประเทศไทยประสบความสำเร็จ ก็จะส่งผลให้ราคาไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย ซึ่งจะช่วยจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าก็จะเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าการเข้ามาของอุตสาหกรรมใหม่ย่อมกระทบต่ออุตสาหกรรมเดิมที่ครองตลาดและเป็นฐานเศรษฐกิจหลักของประเทศไทย เพราะในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของผู้บริโภค กลับมีผลกระทบเชิงลบต่อตลาดแรงงานไทย เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในประเทศจีน ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่จำหน่ายในไทยเป็นรถนำเข้า นอกจากนี้ การผลิตยานยนต์ไฟฟ้ายังใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมากขึ้น ทำให้ความต้องการแรงงานมนุษย์ลดลงอย่างมาก
ดังนั้น รัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค แต่ยังต้องช่วยให้แรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาบเดิมสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ในยุคของการเปลี่ยนผ่านนี้ เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมากขึ้น แรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาบเดิมอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร รัฐบาลควรจัดโปรแกรม ฝึกอบรมและพัฒนาทักษะใหม่ ให้กับแรงงานเหล่านี้ โดยเฉพาะทักษะที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า การเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ และการทำงานกับระบบอัตโนมัติ
อีกโจทย์ใหญ่สำคัญของการเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของไทยคือการผลิตบุคลากรให้ทันต่อความต้องการของตลาด โดยเฉพาการส่งเสริมการจ้างงานในอุตสาหกรรมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า เช่น อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ โดยการสร้าง ศูนย์ฝึกอาชีพ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมเหล่านี้ นอกจากนี้ ควรมีการจับมือกับบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อจัดโปรแกรมฝึกงานและจ้างงานสำหรับแรงงานไทย
และเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านกำลังแรงงานเป็นไปอย่างราบรื่น รัฐบาลควรสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะกับบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ผ่านการจัดตั้ง คณะทำงานร่วม เพื่อหารือและกำหนดแนวทางในการพัฒนาทักษะแรงงาน และการสร้างงานใหม่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ในขณะเดียวกันก็ต้องวางแผนสำรองและให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบสำหรับธุรกิจขนาดกลางและย่อยของไทยที่อยู่ในระบบห่วงโซ่อุปทานรถยนต์แบบเดิมให้เปลี่ยนผ่านสู่การเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เพราะในอนาคต ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับมาตรการภาษีคาร์บอนจากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย รัฐบาลควรเตรียมความพร้อมโดยการส่งเสริมให้ผู้ผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ ควรมีการจัดตั้ง กองทุนเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีคาร์บอนไว้ล่วงหน้า
กล่าวได้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศไทย ในขณะที่ไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายที่ครอบคลุมและชัดเจน เพื่อไม่เพียงแต่ส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังต้องช่วยให้แรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาบเดิมสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้
แนวทางการดำเนินการที่ครอบคลุมที่กล่าวไว้ข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ การฝึกอบรมแรงงาน และการปรับปรุงนโยบายพลังงาน ล้วนเป็นแนวทางที่จำเป็นเพื่อให้ไทยสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในยุคของการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ในท้ายที่สุด การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับประเทศไทยในระยะยาว