สรท.ชี้ การส่งออกไตรมาส 1 ของไทยยังไปได้สวยขยายตัว 7-8% แต่ต้องจับตาส่งออก ไตรมาส 2 กระทบหนักจากทรัมป์ 2.0 ที่จะเห็นภาพชัดขึ้น หลังผลบังคับใช้การขึ้นภาษีเม็กซิโกกับแคนาดา
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท. คาดการณ์ส่งออกปี 2568 เติบโตที่ 1-3% โดยมีปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนจาก ทรัมป์ 2.0 ที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย นอกจากนี้ ยังประเมินว่าการส่งออกของไทยในไตรมาส 1 จะยังคงไปในทิศทางที่ดีขยายตัวอยู่ที่ 7-8% โดยการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ขณะนี้จะมี ทรัมป์ 2.0 จะมีผลเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้ากับแคนาดา เม็กซิโก รวมไปถึงจีนที่ขึ้นไปแล้วก็ตาม
ขณะที่ การส่งออกในไตรมาส 2 จะเป็นต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะการขึ้นภาษีจากนโยบาย ทรัมป์ 2.0 จะเห็นภาพชัดมากขึ้น ทั้งผลกระทบทางตรงและทางอ้อมที่จะมีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าสำคัญเช่นเหล็กและอลูมิเนียม โดยจะมีผลต่อห่วงโซ่ซัพพลายเชนที่ใช้เหล็กและอลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบในการผลิต โดยเฉพาะอย่างเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ก่อสร้าง อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
“จะประเมินผลกระทบต่อการส่งออกแบบแน่ชัด ในตอนนี้ว่าจะมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน อาจจะเป็นเรื่องที่ยาก อีกทั้ง ยังต้องรอติดตามในช่วงเดือนเมษายนนี้ด้วยว่า สหรัฐจะมีการขึ้นภาษีกับประเทศที่ขาดดุลการค้าเพิ่มเติมหรือไม่ รวมไปถึงประเทศไทย โดยสิ่งที่ไทยจะต้องเร่งดำเนินการในตอนนี้คือเร่งการผลักดันส่งออกไปในต่างประเทศให้มากขึ้น”
สำหรับผลกระทบต่อการส่งออกไทยในประเด็นสำคัญ ที่ต้องติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1) การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ดุลการค้าเพิ่ม แต่สัดส่วนการใช้ Local Content น้อย ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษีกดดันจากการส่งออกกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนเกินดุลการค้า ผลกระทบจึงตกไปยังผู้ประกอบการในประเทศทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2) สินค้าจีนทะลัก ขาดระบบควบคุม (Overcapacity) จากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ เพื่อกีดกันสินค้าและลดการเกินดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกกระจายมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยเป็นแหล่งรองรับสินค้า ส่งผลให้ SME ไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้และอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น
3) Soft Loan เข้าถึงยาก ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถยกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนและการเติบโตในทางธุรกิจทำได้ช้า
4) การผลิตสินค้าล้าสมัย รับจ้างผลิต ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง อุตสาหกรรมของไทยยังพึ่งพาการผลิตสินค้ารูปแบบ รับจ้างผลิต (OEM) ขาดงบประมาณสนับสนุนด้าน R&D ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ของคนไทยอย่างจริงจัง ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพารูปแบบ OEM มากเกินไป
5) Skill labour ไม่ปรับตัว ไทยยังขาดแรงงานที่มีฝีมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับแรงงานขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล ทำให้ปรับตัวไม่ทันสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิต
6) ขาด SINGLE POLICY อุตสาหกรรมไทยและภาคการผลิตขาดทิศทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน ทำให้ขาดประสิทธิภาพแม้มีแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจมากมาย เช่น Thailand 4.0, BCG Economy และ EEC แต่ไม่มีนโยบายที่เป็นแกนหลัก (Pivot policy) ที่ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ดี สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการเร่งผลักดันการส่งออกและช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะกลุ่ม sme ดังนี้
1) ผู้ส่งออกไทยที่ทำการค้ากับสหรัฐฯ ควรมีแผนรองรับความเสี่ยง (Derisking) อาทิ 1.1) มองหาตลาดอื่นทดแทนเพื่อกระจายสินค้า และ 1.2) หารือผู้นำเข้า/ทูตพาณิชย์ อย่างต่อเนื่องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเตรียมการรับมือร่วมกัน
2) เร่งใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่และใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ให้เต็มที่ เช่น กรอบ RCEP รวมถึงเร่งเจรจา FTA Thai – EU และ ASEAN – Canada ให้บรรลุผลโดยเร็ว
สำหรับภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม 2568 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 25,277.0 ขยายตัวร้อยละ 13.6 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 862,367 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 11.8 (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนมกราคมขยายตัวร้อยละ 11.4)
ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 27,157.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.9 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 938,112 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.3 ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม 2568 ขาดดุลเท่ากับ 1,880.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลในรูปของเงินบาท 75,746 ล้านบาท