แห่อาลัย เจมส์ แฮร์ริสัน ผู้บริจาคโลหิต ที่ได้รับยกย่องเป็น ‘วีรบุรุษแขนทองคำ’ ช่วยชีวิตทารก 2.4 ล้านคน เสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย 88 ปี
สำนักข่าวต่างประเทศ บีบีซี รายงานว่า เจมส์ แฮร์ริสัน ชายชาวออสเตรเลีย หนึ่งในผู้บริจาคเลือดผู้ได้รับการยกย่องขนานนาม ‘วีรบุรุษแขนทองคำ’ เนื่องจากพลาสมาในเลือดของเขา ได้ช่วยชีวิตเด็กทารกมากกว่า 2.4 ล้านคน เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 88 ปี
ครอบครัวของเจมส์ แฮร์ริสัน แจ้งข่าวเศร้าเมื่อวันจันทร์ (3 มี.ค) ว่า เจมส์ แฮร์ริสัน เสียชีวิตอย่างสงบ ขณะนอนหลับในบ้านพักคนชราในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ด้วยวัย 88 ปี เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา
โดย เจมส์ แฮร์ริสัน หรือชาวออสเตรเลียรู้จักกันในชื่อ “ชายผู้มีแขนทองคำ” เนื่องจากเลือดของแฮร์ริสันมีแอนติบอดีที่หายาก ที่เรียกว่า “Anti-D” ซึ่งใช้ในการผลิตยาให้กับหญิงที่ตั้งครรภ์ ที่มีความเสี่ยงที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันทำร้ายลูกในครรภ์
ภาพประกอบ
ขณะเดียวกัน ด้านองค์กร Australian Red Cross Blood Service องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของประเทศภายใต้การดำเนินงานของ สภากาชาดออสเตรเลีย ได้กล่าวแสดงความอาลัยต่อการจากไปของแฮร์ริสัน พร้อมเผยถึงความมุ่งมั่นของเขาว่า เขาจะเป็นผู้บริจาคโลหิต หลังจากที่เขาเคยได้รับการถ่ายเลือดจำนวนมากระหว่างการผ่าตัดใหญ่ที่หน้าอกเมื่อเขาอายุ 14 ปี
เขาเริ่มบริจาคพลาสมาเมื่ออายุ 18 ปี และบริจาคต่อเนื่องทุกๆ 2 สัปดาห์เรื่อยมา จนกระทั่งอายุ 81 ปี เนื่องจากเขาอายุเกินเกณฑ์ที่จะบริจาคโลหิตแล้ว โดยตลอดระยะเวลา 60 ปี แฮร์ริสันบริจาคโลหิตไปแล้วกว่า 1,173 ครั้ง ซึ่งเขาหวังว่าจะช่วยชีวิตผู้คนได้หลายล้านคน
โดยในปี พ.ศ. 2548 เขาได้รับบันทึกสถิติโลกว่าเป็นผู้บริจาคพลาสมามากที่สุด ซึ่งเขาครองตำแหน่งนี้จนถึงปี พ.ศ. 2565 หลังชายชาวอเมริกันทำลายสถิติเดิมของเขา
ภาพประกอบ
ขณะที่ทางด้าน เทรซี่ เมลโลว์ชิพ ลูกสาว ได้เผยว่า พ่อของเธอภูมิใจมากที่สามารถช่วยชีวิตคนจำนวนมากได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือความเจ็บปวดใดๆ เขาพูดเสมอว่า “มันไม่เจ็บ และชีวิตที่คุณช่วยได้อาจเป็นชีวิตของคุณเอง” ซึ่งเมลโลว์ชิพ และหลานสองคนของแฮร์ริสัน ต่างก็เคยได้รับการฉีดวัคซีน Anti-D เช่นกัน
สำหรับการฉีดวัคซีน Anti-D ช่วยป้องกันทารกในครรภ์จาก โรคเม็ดเลือดแดงแตกในทารกแรกเกิด ซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของแม่ไม่เข้ากับเซลล์เม็ดเลือดของทารกที่กำลังเติบโต
เป็นเหตุให้ระบบภูมิคุ้มกันของแม่จะมองว่า เซลล์ของทารกนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมและสร้างแอนติบอดีขึ้นมา เพื่อทำลายเซลล์เหล่านั้น ซึ่งอาจทำให้เกิด ภาวะโลหิตจางรุนแรง หัวใจล้มเหลว หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตได้
ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเหตุใดเลือดของแฮร์ริสันจึงมี Anti-D ในปริมาณสูงขนาดนั้น แต่มีรายงานบางฉบับระบุว่า อาจเกี่ยวข้องกับการถ่ายเลือดจำนวนมากที่เขาได้รับเมื่ออายุ 14 ปี