“รมว.พม.” ชี้ ไม่นิ่งนอนใจ ห่วง “เด็กเชื่อมจิต” โตมาในสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม วอน ผู้ใหญ่รอบตัวใช้วิจารณญาณ คิดถึงอนาคตของเด็ก
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการกลับมาทำพิธีกรรมของเด็กเชื่อมจิต ว่า เราได้ไปร้องขอต่อศาลและศาลมีคำสั่งออกมาแล้วเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2567 เป็นการคุ้มครอง 6 เดือน ซึ่งก็ครบไปเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงที่อยู่นอกเหนือคำสั่งคุ้มครองของศาล เมื่อเกิดเหตุการณ์ทางกระทรวงพม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ไปร้องขอต่อศาลเพิ่มเติมในการคุ้มครองและดูแลสวัสดิภาพของเด็ก และจะเป็นการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
นายวราวุธกล่าวว่า อยากจะขอฝากไปทางผู้ใหญ่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้เกี่ยวข้องกับน้องโดยตรงหรือผู้ที่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ต้องขอให้เห็นแก่เด็ก เพราะเด็กคือผลผลิตโดยตรงของผู้ใหญ่ในวันนี้ เป็นผลผลิตโดยตรงของผู้เป็นพ่อและเป็นแม่ เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าขึ้นอยู่กับว่าทำกับเด็กอย่างไรในวันนี้ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นขอให้ใช้วิจารณญาณของผู้ใหญ่ ขอให้คิดถึงอนาคตของเด็ก อย่าทำอะไรให้เด็กเติบโตขึ้นมาแล้วกลายเป็นภาระหรือว่ามีปัญหาในอนาคต เพราะท่านไม่ทราบเลยว่าสิ่งที่เด็กคนหนึ่งเผชิญอยู่นั้นในวันนี้ผลจะออกมาดีหรือไม่ แล้วโตขึ้นมาแล้วจะมีผลกระทบในทางบวกหรือทางลบอย่างไร
“ก็ขอให้คิดเยอะๆถึงอนาคตของเด็ก คิดให้เยอะๆว่าเค้าจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร แล้วก็ทำในสิ่งที่คู่ควร แล้วก็ ให้เด็กคนหนึ่งมีการเติบโตและมีพัฒนาการ ทางสมองและจิตใจตามอายุและไปในทางที่ถูกต้องดีกว่า” นายวราวุธกล่าว
เมื่อถามว่าขั้นตอนการขอต่ออายุการคุ้มครองต่อศาลจะกินเวลานานหรือไม่ นายวราวุธกล่าวว่า ทราบว่าการต่ออายุไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเพราะหมดช่วงระยะเวลาไปแล้ว หากจะขอต้องขอในช่วงที่ยังไม่หมด จึงเป็นไปได้ว่าจะต้องเริ่มไต่สวนกันใหม่ ทางพม.เราก็ได้ประสานกับหน่วยงานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ในการที่จะร้องขอต่อศาล คาดว่าจะไม่ใช้เวลานานเท่าครั้งก่อน เพราะเรามีต้นเรื่องเดิมอยู่แล้ว ก็หวังว่าศาลจะให้ความเมตตาและเร่งพิจารณา เพราะทางพม.เราเป็นห่วงเด็กมาก
นายวราวุธกล่าวว่า แน่นอนว่า ให้สัมภาษณ์ไปเช่นนี้จะต้องมีผู้ใหญ่บางคนออกมาเห็นแย้ง ว่าดูแลน้องดีแล้วต่างๆดีแล้ว แต่อย่างที่ตนได้เรียนไปเบื้องต้นว่า สภาพแวดล้อมของเด็กควรหนึ่งควรจะเป็นสภาพแวดล้อมของเด็ก ไม่ใช่ไปทำอะไรให้นอกเหนือ หรือไปทำให้เด็กคนหนึ่งคิดเป็รอย่างอื่นอย่างใด ไม่ว่าจะเป็นการทำพิธีหรืออะไรก็ตาม