เรียงคนมาเป็นข่าว:ชโลทร/ภาพข่าวสังคม วันที่ 18 มีนาคม 2568
●…การเมืองเข้าสู่โหมด “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” ที่โหมโรงด้วยมีชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ในญัตติได้หรือไม่ และ “ให้เวลาฝ่ายค้านกี่ชั่วโมง” ซึ่งเอาเข้าจริงเป็นแค่ “สาระลวง” ที่ “พรรคประชาชน” ที่ถูกปรามาสว่า “ฟันไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” ใช้ต้อน “ผู้อาวุโสที่อยากโชว์เก๋าให้นายเห็น” ใน “พรรคเพื่อไทย” ให้ไปกองรวมอยู่ในกำลังพลระดับ “องครักษ์พิทักษ์นาย” โดยคิดว่านายจะให้ราคาเป็น “ขุนพล” ขณะที่หัวใจของบทบาทในสภา อยู่ที่ “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคประชาชน” ใครจะให้ภาพว่าเป็น “ความหวังต่ออนาคตของประเทศ” ได้มากกว่ากัน
●…ภารกิจหนักอึ้งของ “เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” คือต้องสร้างผลงานให้ประชาชนยอมรับว่ามี “ภาวะผู้นำ” ในระดับ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ทำได้ ซึ่งไม่ง่ายเลย เพราะต้องแสดงให้เห็นถึง “ความเป็นไปของประเทศอย่างรอบด้านและแหลมคม” พร้อมกับ “ตีแผ่ความสิ้นหวังที่เกิดจากการทำงานของรัฐบาลชุดนี้” โดยเฉพาะ “ความรู้ความสามารถ ความเหมาะสมในการเป็นผู้นำ” ของ “แพทองธาร ชินวัตร” ด้วยบทบาทของ “ผู้นำฝ่ายค้าน” ให้ได้ พร้อมๆ กับควบคุมทีมงานให้แจกแจงรายละเอียดของ “ความสิ้นหวัง” ให้ชัดเจน ก่อนจะสรุปว่า “พรรคประชาชน” โดย “ณัฐพงษ์” คือ “ความหวังที่เหนือกว่าอย่างไร” ให้ได้
●…ขณะที่เป็นโอกาสสำคัญของ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ที่จะประกาศตัวให้ทุกคนรับรู้ว่าเป็น “นายกรัฐมนตรีเจนวาย” ที่ไม่ใช่แค่ “ไข่ในหินแตะต้องไม่ได้” เอาแต่อาศัย “องครักษ์พี่เลี้ยง” คุ้มครองปกป้อง แต่องอาจด้วยความรู้ความสามารถ “เด็ดขาดเฉียบแหลมในภาวะผู้นำ” เท่าทันความเป็นไปที่ซับซ้อนของ “ยุคสมัยของโลกที่โกลาหลในสงครามการค้ารุนแรง และการเมืองไร้ปรานี” เป็นผู้นำที่ผู้คนทุกระดับ “ฝากความหวังไว้ได้”
●…สำหรับ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็น “กุนซือใหญ่” ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าระหว่าง “พวกโชว์เก๋าคุ้มครองนาย” กับ “พวกเปิดทางให้นายโชว์การนำ” สำหรับ “อนาคตของแพทองธาร และพรรคเพื่อไทย” ใครคือผู้ที่สมควรยกย่องให้เป็น “ขุนพลคู่บารมี” มากกว่า ในยุคสมัยที่ภาพในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน “วิสุทธิ์ ไชยณรุน-พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” หรือกระทั่ง “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” แสดงให้เห็นชัดๆ แล้ว
●…โจทย์ยากของ “รัฐบาล” คือ “ฟื้นเศรษฐกิจจากวิกฤต” ไปทุกด้าน “ความสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านเสื่อมทรุด-หนี้ทั้งสาธารณะและครัวเรือนที่ลามสู่การเอาตัวรอดยังยาก-กิจการล้มละลายลามจากเอสเอ็มอีไปกระหน่ำธุรกิจใหญ่ให้ซวนเซ” คำถามถึง “ความสามารถในการผลิตที่ถูกสินค้าจีนทำลาย” พร้อมกับ “ทำเลการค้าและธุรกิจถูกยึดครองจากทุนต่างชาติ” คำถาม “แล้วคนไทยจะอยู่ตรงไหน” เป็นเรื่องใหญ่ที่ “ผู้บริหารประเทศ” ต้องให้คำตอบ การพูดถึง “โลกข้างหน้า” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” โดยไม่มีคำตอบว่าจะจัดการกับ “ซากปรักหักพัง” ที่ “โครงสร้างอำนาจแช่แข็งประเทศ” ก่อกรรมไว้ ระงับความทุกข์ร้อนของผู้คนไม่ได้
●…โลกยุค “สงครามการค้าไร้น้ำใจ” ในฐานะ “รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง-ภูมิธรรม เวชยชัย” พร้อม “รมว.ยุติธรรม-ทวี สอดส่อง” นำทีมไปรับประกัน “การดูแลอุยกูร์ที่ไทยส่งกลับจีน” ขณะ “กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ” ประกาศให้ “ระงับวีซ่าเข้าอเมริกา” กับ “เจ้าหน้าที่รัฐไทย” ที่ “สนับสนุนการส่งกลับอุยกูร์” ที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่การยืนหยัดใน “ภารกิจที่ทำไปแล้วของรัฐบาล” แต่ที่ชวนให้วิตกกังวลไม่ได้คือ “จิตใจของข้าราชการที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง” มอง “การตัดสินในเรื่องนี้อย่างไร” พร้อม “เสียสละประวัติส่วนตัวในสายตาประชาคมโลก” เพื่อทุ่มเททำงานให้รัฐบาลหรือไม่…
●…อีกสถานการณ์ที่กดดันไม่แพ้กัน ในคืนวันที่ “นักท่องเที่ยวจีนลดฮวบ” และ “รัฐบาลจีน” ซ้ำด้วยการเตือน “ความรุนแรงในสถานที่คนเยอะๆ ในไทย” ที่เสี่ยงจากความขัดแย้ง “นโยบายส่งกลับอุยกูร์” ที่อดีตเคยเกิดมาแล้วที่ “ศาลพระพรหม” คำเตือน “สภายุโรป” ที่หยิบเอา “สำนึกสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลไทย” โดยยกเรื่อง “อุยกูร์” และ “คดีการเมือง” ขึ้นมาซ้ำเติมโลกที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ข่มขู่ประเทศเล็กฟ่อๆ ถึงมาตรการใน “สงครามการค้า” ขณะที่ “การทำมาหากินในประเทศไทยเราฝืดเคืองไปทุกกิจการ” มีใครที่ยังหายใจได้ทั่วท้องได้จริงหรือ
ชโลทร