กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศประเทศไทยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนปี 2568 เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ปรากฏสถานการณ์น้ำในประเทศตามแผนการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้งปี 2567/2568 (1 พฤศจิกายน 2567-30 เมษายน 2568) จากปริมาณน้ำต้นทุน ณ วันที่ 1 พ.ย. 2567 ที่ 44,250 ล้าน ลบ.ม. ได้วางแผนจัดสรรน้ำฤดูแล้ง 29,170 ล้าน ลบ.ม. สำรองต้นฤดูฝนปี 2568 ที่ 15,080 ล้าน ลบ.ม. (แผนจัดสรรเพื่อการอุปโภค-บริโภค 3,050 ล้าน ลบ.ม. หรือ 10% ของแผนรวม) ในขณะนี้ได้มีการจัดสรรน้ำไปแล้ว 22,243 ล้าน ลบ.ม. คงเหลือจัดสรรได้อีก 6,927 ล้าน ลบ.ม. (24% จากแผน)
ขณะที่ปริมาณน้ำเก็บกักทั้งประเทศ ณ วันที่ 18 มีนาคม 2568 คงเหลือ 49,900 ล้าน ลบ.ม. (65%) ปริมาณน้ำใช้การได้ 25,918 ล้าน ลบ.ม. (49%) คาดการณ์ปริมาณน้ำเก็บกัก ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 หรือหลังฤดูแล้ง จะอยู่ที่ 44,778.08 ล้าน ลบ.ม. (59%) ปริมาณน้ำใช้การ 21,323.40 ล้าน ลบ.ม. (41%) ประกอบกับปีนี้เป็นปี “ลานีญา” หรือฝนมากน้ำมาก เชื่อว่าประเทศไทยจะผ่านพ้นช่วงฤดูแล้งไปได้โดยไม่ขาดแคลนน้ำในพื้นที่ส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม ยังมีพื้นที่บางส่วนของประเทศมีแนวโน้มจะขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค จากแหล่งน้ำดิบสำคัญมีปริมาณลดลง การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ในฐานะหน่วยงานที่ต้องบริหารจัดการดูแลความมั่นคงของระบบน้ำประปาในภูมิภาค ได้จัดทำมาตรการรับมือภัยแล้งปี 2568 ด้วยการติดตามสถานการณ์ภัยแล้งอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค กล่าวว่า กปภ.ได้ออก “ข้อสั่งการ” การเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ฤดูร้อนตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับในปี 2568 โดยได้วาง 3 มาตรการ เพื่อให้ กปภ.ทุกสาขาทั่วประเทศเตรียมรับมือเฝ้าระวังภัยแล้ง โดย มาตรการแรก แหล่งน้ำดิบให้ กปภ.สาขา ติดตามสถานการณ์น้ำ จัดทำแผนบริหารจัดการแหล่งน้ำ สำรวจและประเมินแหล่งน้ำดิบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้เพียงพอต่อการผลิตน้ำประปาตลอดฤดูแล้ง รวมทั้งสำรวจแหล่งน้ำอื่น ๆ ทั้งแหล่งน้ำสาธารณะและแหล่งน้ำเอกชน เพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำสำรองในกรณีที่เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำดิบ
โดยจะเร่งเก็บน้ำสูบเข้าสระกักเก็บน้ำเตรียมการปรับปรุงต่อท่อทางดูด และระบบชักน้ำดิบ เพื่อให้สามารถสูบน้ำในระดับต่ำได้อย่างเพียงพอ รวมทั้งให้เฝ้าระวังคุณภาพน้ำที่อาจมีการปนเปื้อน เช่น สาหร่าย ประสานกรมชลประทานในพื้นที่ เพื่อแจ้งปริมาณน้ำที่ กปภ.สาขาต้องการใช้แต่ละจุดตลอดจนถึงสิ้นสุดฤดูแล้ง (1 พ.ค. 2568) การบริหารจัดการสูบน้ำให้สอดคล้องกับ “รอบเวร” การส่งน้ำของกรมชลประทาน ดำเนินการสร้างฝ่ายทดน้ำในลำน้ำเพื่อยกระดับน้ำให้สูงขึ้น สะดวกต่อการสูบน้ำดิบ
มาตรการที่สอง ด้านการผลิตและจ่ายน้ำ ให้เตรียมความพร้อมตรวจสอบสภาพระบบผลิตน้ำ-เครื่องสูบน้ำ กำลังคนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในพร้อมและเพียงพอต่อการใช้งาน การดำเนินการผลิตและจ่ายน้ำเป็นช่วงเวลาหรือลดอัตราการผลิตและจ่ายน้ำเพื่อรักษาปริมาณน้ำดิบที่มีอยู่ให้สามารถผลิตน้ำประปาได้ตลอดฤดูแล้ง พร้อมจัดเตรียมกำลังคน รถยนต์บรรทุกน้ำ พร้อมตรวจสอบสภาพอุปกรณ์และเครื่องสูบน้ำให้เพียงพอ และพร้อมใช้งานตลอดเวลา รวมทั้งให้ประสานงานกับ กปภ. สาขาใกล้เคียงที่มีศักยภาพเพื่อเตรียมเพิ่มกำลังผลิตและส่งน้ำประปาไปช่วยยัง กปภ.สาขาที่อาจจะเกิดการขาดแคลนน้ำ นอกจากนี้ยังได้ทำความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่ร่วมกับกรมชลประทานถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการกักเก็บน้ำดิบไว้ใช้สำหรับอุปโภคบริโภค
มาตรการที่สาม ด้านการช่วยเหลือประชาชน ให้ กปภ.จ่ายน้ำประปาโดยไม่คิดมูลค่าให้แก่รถบรรทุกน้ำของส่วนราชการ หรือหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อรับน้ำประปาไปแจกจ่าย รวมทั้งให้ กปภ.สาขาที่ประสบปัญหานำรถบรรทุกน้ำประปาจากสาขาใกล้เคียงไปแจกจ่ายให้กับลูกค้าและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำด้วย โดยในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา (1 ตุลาคม 2566-30 กันยายน 2567) กปภ.ได้ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งไปแล้ว เป็นจำนวน 72.691 ล้านลิตร
ทั้งนี้ กปภ.มีแนวทางในการจัดการขาดแคลนน้ำ เพื่ออุปโภคบริโภคไว้ 6 แนวทาง ได้แก่ การวางท่อส่งน้ำ สูบน้ำจากแหล่งน้ำสำรอง, การใช้น้ำบาดาล, สูบทอยน้ำ ต่อท่อทางดูด ย้ายแพสูบน้ำ, การสร้างฝาย ขุดลอก ขุดขยาย, ใช้แหล่งน้ำเอกชน ซื้อน้ำ
สำหรับพื้นที่ที่น่าเป็นห่วงว่าจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในปีนี้ จากการติดตามสถานการณ์ของ กปภ. ใน “จังหวัดนครราชสีมา” อย่างใกล้ชิด ปัจจุบัน กปภ.มี 9 สาขาในพื้นที่ ได้แก่ กปภ.สาขานครราชสีมา, ปากช่อง, ครบุรี, สีคิ้ว, ปักธงชัย, โชคชัย, พิมาย, ชุมพวง, โนนสูง และด่านขุนทด พบว่าปัจจุบันทุกสาขายังสามารถผลิตและจ่ายน้ำประปาให้บริการประชาชนได้ตามปกติ แต่ได้กำชับทุกสาขาให้เฝ้าระวังปริมาณ “น้ำดิบ” ที่จะใช้ในการผลิตน้ำประปาให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหน้าแล้ง แต่จะมี 1 สาขาที่น่าเป็นห่วง คือ กปภ.สาขานครราชสีมา ที่จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้แน่ ๆ
โดยในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา พบว่า “เขื่อนลำตะคอง” มีปริมาณน้ำลดลงจะถึงขั้นวิกฤต ถนนสายประวัติศาสตร์ (สายโคราชเดิม) ที่จมอยู่ในอ่างได้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเกือบทั้งสาย โดยอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคองถือเป็น “แหล่งน้ำดิบขนาดใหญ่” ให้กับ กปภ.ถึง 3 สาขา ได้แก่ สาขาปากช่อง สาขาสีคิ้ว และสาขานครราชสีมา รวมถึงเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ปริมาณน้ำในลำน้ำมูล ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบเริ่มลดลงตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ขณะนี้ กปภ.สาขานครราชสีมา ต้องหันมาใช้แหล่งน้ำดิบสำรองจาก “สระเก็บน้ำดิบโนนไม้แดง” มาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สระเก็บน้ำดิบโนนไม้แดงก็เริ่มวิกฤต เนื่องจากในขณะนี้เหลือน้ำอยู่เพียง 1 ลบ.ม. จากความจุอ่างทั้งหมด 4.1 ลบ.ม. ซึ่งสระนี้ถือเป็นแหล่งน้ำดิบสำรองของ กปภ.ในการผลิตและจ่ายบริการให้ประชาชน อ.เมืองนครราชสีมา (บางส่วน) อ.เฉลิมพระเกียรติ และ อ.จักราช โดยปริมาณน้ำดิบที่เหลือจะสามารถให้บริการได้เพียง 23 วันเท่านั้น
“กปภ.นครราชสีมา ได้เร่งหารือร่วมกับผู้ว่าราชการ จ.นครราชสีมา สำนักงานชลประทานที่ 8 ตลอดจนหน่วยงานในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอใช้น้ำจากเขื่อนลำแชะและเขื่อนมูลบน ในปริมาณ 20 ล้าน ลบ.ม. โดยให้ส่งน้ำจำนวนนี้ผ่านทางลำน้ำมูล ผ่านฝ่ายต่าง ๆ กว่า 20 ฝ่าย ระยะทาง 140 กม. ต้องใช้เวลา 10 วัน น้ำจำนวนนี้จึงได้เดินทางมาถึง กปภ.สาขานครราชสีมา ในวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมานี้เอง
ทางเราได้เตรียมเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่จำนวน 6 เครื่อง ระดมสูบน้ำจากลำน้ำมูลเข้าสระเก็บน้ำดิบโนนไม้แดง โดยจะสามารถสูบน้ำได้เต็มสระที่มีความจุ 4.1 ล้าน ลบ.ม. ภายใน 20 วัน ซึ่งคาดว่าปริมาณน้ำ 4.1 ล้าน ลบ.ม. จะสามารถให้บริการน้ำประปาในพื้นที่ กปภ.นครราชสีมา ได้จนถึงสิ้นสุดฤดูแล้ง แม้ไม่มีฝนลงมาเติม แต่หากปริมาณน้ำดิบยังไม่เพียงพอก็สามารถขอให้ปล่อยน้ำผ่านลำน้ำมูลเข้ามาเพิ่มเติมอีกได้ คาดว่าจะใช้เวลาเดินทางของน้ำสั้นลงกว่าเดิม เนื่องจากผ่านพ้นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวนาปรังไปแล้ว” นายจักรพงศ์กล่าว
ทั้งนี้ กปภ.ทั้ง 3 สาขา (ปากช่อง-สีคิ้ว-นครราชสีมา) ที่ใช้น้ำดิบจากลำน้ำลำตะคอง คาดว่าจะสามารถบริการน้ำประปาให้กับประชาชนได้เพียงพอสำหรับหน้าแล้งนี้ โดยเฉพาะ กปภ.สาขาสีคิ้ว ที่ใช้น้ำดิบจากลำน้ำลำตะคองโดยตรง ได้สูบบริเวณจุดต่ำสุดหรือบริเวณสะดืออ่าง
ในวันนี้แม้ความจุน้ำในอ่างจะมีเพียง 15% แต่ถือว่า “ยังใช้ได้เพียงพอ” แต่หากแหล่งน้ำไม่เพียงพอก็จะประสานให้การประปาส่วนภูมิภาคเขต 2 ขอส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร อ.ด่านขุนทด ส่งมาช่วยยัง กปภ.สาขาสีคิ้ว ขณะที่ กปภ.สาขาปากช่อง ยังมีแหล่งน้ำดิบจากคลองลำตะคอง ที่ไหลมาจากบริเวณเขาใหญ่ และมีฝายกั้นน้ำทำให้มีปริมาณน้ำมากพอ และที่ กปภ.สาขานครราชสีมา ก็ใช้น้ำดิบจาก กปภ.สาขาสีคิ้วส่วนหนึ่ง และมีสถานีผลิตอยู่ที่ ต.ท่าช้าง อ.เฉลิมพระเกียรติ โดยใช้น้ำจากลำน้ำมูล เขื่อนลำแชะและเขื่อนมูลบน
ผู้ว่าการ กปภ.กล่าวว่า กปภ.ภูเก็ตจะสามารถบริหารจัดการแหล่งน้ำดิบในจังหวัดให้ผ่านพ้นหน้าฤดูแล้งไปได้ โดย กปภ.มีสาขากระจายอยู่รอบเกาะ จากปัจจุบันมีแหล่งน้ำดิบหลักที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาภูเก็ต จะมาจากอ่างเก็บน้ำบางวาด กับอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ นอกจากนี้ที่ผ่านมามีการใช้แหล่งน้ำจากเอกชน-ขุมเหมืองต่าง ๆ โดยได้มีการทำสัญญาระยะสั้นเพื่อขอวางท่อชั่วคราวสูบน้ำดิบกรณีแหล่งน้ำดิบขาดแคลน แม้ว่าแหล่งน้ำดิบดังกล่าวจะไม่ได้มีศักยภาพมากนัก แต่ก็สามารถผลิตน้ำประปาให้บริการได้ “ผมเชื่อว่าที่ภูเก็ต เราจะสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นหน้าแล้งปีนี้ไปได้”
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา กปภ.ได้ทำการศึกษา โครงการรัชชประภา-ภูเก็ต เพื่อดึงน้ำจากเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 180 กม. มาใช้ผลิตน้ำประปา ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาผู้รับจ้างก่อสร้างวงเงิน 3,300 ล้านบาท ระยะเวลาสร้าง 3 ปี ซึ่งถือเป็น “Master Plan” โครงการหนึ่งที่ กปภ.คาดการณ์ว่า ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้ากำลังการผลิตรวมจากแหล่งน้ำดิบในพื้นที่จะไม่เพียงพอ ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นหนึ่งในโครงการที่จะช่วยให้จังหวัดภูเก็ตสามารถเติบโตได้ด้วยตนเอง
“ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาได้มีการหยิบยกบางโครงการมาเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแหล่งน้ำดิบ เช่น โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ.สาขาพังงา-ภูเก็ต เพื่อแก้ปัญหาในอีก 5 ปีข้างหน้า ไม่ให้กระทบกับแหล่งน้ำในคลอง โดยชลประทานก็จะมีฝายกั้นและมีข้อตกลงร่วมกัน ว่าหากระดับน้ำสูงกว่าฝายกั้นคลองพังงา-ทะเล สูงกว่าฝาย 1 ซม. การประปาส่วนภูมิภาคจะต้องหยุดสูบน้ำทันที นอกจากนี้จะมีการสร้างสระพักน้ำ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาที่ดินเพื่อดำเนินการ” นายจักรพงศ์กล่าว