ผู้เขียน | วุฒิ สรา |
---|
เกิดอะไรขึ้น? หลายคนข้องใจ กับวิวาทะเดือดระหว่าง “พิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พาณิชย์ กับ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รมว.เกษตรฯ ที่เปิดศึกทุเรียนกลาง ครม.เมื่อ 18 มีนาคมที่ผ่านมา
หลัง “หมอมิ้ง-นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” เลขาธิการนายกฯ เกริ่นถึงปัญหาการส่งออกทุเรียนว่า ไทยควรมีเครื่องมือในการตรวจจับปริมาณสารย้อมสีเหลือง BY2 (Basic Yellow 2)
ทั้งนี้ เนื่องจากจีนตรวจสอบเข้ม 100% หลังพบว่าทุเรียนไทยบางส่วนมีสารดังกล่าวปนเปื้อน จึงห้ามนำเข้า ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกทุเรียนของไทยมีมูลค่าปีละกว่า 1.5 แสนล้านบาท
ทางรมว.พาณิชย์ข้องใจว่า ทุเรียนที่จีนตีกลับ ทางการไทยอายัดไว้ ทำไมไม่รีบทำลาย ด้าน รมว.เกษตรฯ โต้แย้งด้วยเสียงเข้มว่า การอายัดต้องทำตามขั้นตอน ไม่สามารถทำลายได้ทันที
ทำให้ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ต้องหย่าศึก สั่งให้ทั้ง 2 รัฐมนตรีไปเคลียร์นอกรอบให้ได้ข้อยุติ ก่อนนำมารายงาน ครม.อีกครั้ง
การตั้งข้อสังเกตของ “พิชัย” ที่อยากให้รีบทำลายทุเรียนซึ่งถูกตีกลับนั้น เพื่อจะโชว์ให้จีนเห็นว่าไทยเอาจริงเอาจังกับทุเรียนที่มีสารปนเปื้อน แต่ขณะเดียวกันอาจเป็นการตั้งคำถามว่าทุเรียนที่ผ่านการตรวจจากห้องแล็บของไทยไปแล้วว่าไม่มีสารตกค้าง แต่ทำไมด่านจีนยังเจอ
เหตุที่ “หมอมิ้ง” ถึงยกประเด็นเรื่องทุเรียนมาหารือใน ครม. เพราะก่อนหน้านั้นมีคนในแวดวงการค้าผลไม้มากระซิบเตือนให้เตรียมมาตรการรองรับฤดูผลไม้ชนิดต่างๆ เนื่องจากปีนี้ผลผลิตจะมากกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งมีปัญหาซ้ำซ้อนคือทางการจีนเข้มงวดการตรวจสารเคมีตกค้าง
การประชุม ครม.เมื่อ 11 มีนาคมที่ผ่านมา นายกฯแพทองธาร สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมมาตรการรับมือไม่ให้ราคาตกต่ำ อาทิ ให้กระทรวงพาณิชย์ เตรียมรองรับการกระจายสินค้าออกจากแหล่งผลิต ส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ มากขึ้น
ให้กระทรวงเกษตรฯ กำกับดูแลการตรวจคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสารแคดเมียมและสาร BY2 ในทุเรียน ซึ่งทางจีนกำหนดให้ตรวจ 100%
BY2 เป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การย้อมสีผ้า กระดาษ หนัง และอื่นๆ เพื่อให้สีเหลืองสด แต่ดันมีล้งทุเรียนของไทยบางรายมักง่ายเอามาชุบทุเรียน จากที่ผ่านมาชาวสวนไทยจะใช้ขมิ้นมาชุบให้ผิวทุเรียนสีเหลืองสวยงาม ไม่มีสารเคมี
เมื่อทางการจีนตรวจพบสารดังกล่าวจึงตีกลับทุเรียนไทย ซึ่งหลายฝ่ายยังสงสัยว่าทุเรียนที่ถูกตีกลับ มีการทำลายทิ้งจริงไหม หรือจะไหลย้อนกลับมาขายในไทย
ก่อนหน้านั้น ก็เกิดศึกทุเรียนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแล้ว โดยเฉพาะระหว่าง “ผู้แทนเซ็นทรัลแล็บไทย” กับ “ผู้แทนกรมวิชาการเกษตร” มีการโต้เถียงกันดุเดือดถึงการไฟเขียวให้ห้องแล็บเอกชนบางแห่ง ร่วมตรวจสอบสารตกค้างในทุเรียน
ท่ามกลางข่าวลือว่ามีการเรียกเก็บค่าหัวคิวพิเศษในการตรวจตู้ละ 2 หมื่นบาท
ทั้งที่ เอกชนบางรายไม่น่าจะมีประสิทธิภาพพอในการตรวจสอบ และก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีการรับรองผลตรวจจากแล็บของไทยว่าไม่มีสารตกค้างแล้ว 100% แต่เมื่อไปถึงด่านจีน กลับยังพบสารปนเปื้อน
ทางสมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ไทย จึงร้องเรียนให้กระทรวงเกษตรฯตรวจสอบ
ต่อมา “ประยูร อินสกุล” ปลัดกระทรวงเกษตรฯ มีคำสั่งให้ “รพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ไปช่วยราชการที่กระทรวงเกษตรฯ 90 วัน พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยแต่งตั้ง “นฤมล สงวนวงศ์” ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ เป็นรักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิชาการเกษตร
เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีการสลับเก้าอี้กันระหว่าง “พงศ์ไท ไทโยธิน” รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กับ “ปรียานุช ทิพยะวัฒน์” รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐาน สินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) คงเกี่ยวโยงกับปมปัญหาการตรวจสอบสาร BY2 ในทุเรียน
สำหรับด่านจีนที่สำคัญ คือด่านโม่ฮาน-บ่อเต็น ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการส่งออกผลไม้จากไทย ผ่านลาว เข้าสู่จีน ก่อนหน้านี้จะสุ่มตรวจทุเรียนของไทยแค่ 30% แต่ตอนนี้เข้มงวดตรวจ 100% เพราะไม่เชื่อมั่นห้องแล็บของไทย
ปกติด่านจีนจะรองรับการตรวจได้วันละประมาณ 300 ตู้คอนเทรนเนอร์ เมื่อต้องตรวจ 100% ก็ต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิม
ยิ่งช่วงพีคตั้งแต่กลางเดือนเมษายน จะมีมากถึง 800-1,000 ตู้ ยิ่งใช้เวลามากขึ้นไปอีก ต้องรอคิวตรวจ 10-15 วัน หรือนานกว่านั้น หากรถบรรทุกติดคิวสะสมที่ด่าน
เมื่อใช้เวลาตรวจนานทำให้เนื้อทุเรียนสุกเป็นปลาร้า ไม่เป็นที่นิยมของตลาดจีน หรือเสียหายจนขายไม่ได้เพราะผ่านด่านตรวจล่าช้า การส่งออกทุเรียนหยุดชะงัก ทางล้งขาดทุน อาจเทสัญญาที่ซื้อล่วงหน้าจากสวนทุเรียน ราคาจะยิ่งตกต่ำลง
แม้ตอนนี้เชื่อว่าทางล้งคงไม่ใช้ใช้สาร BY2 ชุบทุเรียนแล้ว แต่ทางจีนยังไม่เชื่อมั่น เพราะยังตรวจเจอ ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่สารดังกล่าวตกค้างในตระกร้า เข่งหรือลัง ที่บรรจุทุเรียน
ดังนั้น อาจต้องจัดบิ๊กคลีนนิ่ง ลุยปราบต้นตอสาร BY2 และตรวจบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เพื่อให้จีนมั่นใจมากขึ้น
ขณะเดียวกัน เมื่อจีนยังตรวจ 100% ไทยเราอาจเจรจาขอให้ด่านจีนเพิ่มเจ้าหน้าที่ และเครื่องมือตรวจมากขึ้น เพื่อร่นเวลาการตรวจ
หากตรวจไปสักระยะหนึ่งจนมั่นใจว่าไม่น่าจะมีสารตกค้างแล้ว อาจลดการตรวจเหลือ 20-30% อย่างที่กระทรวงพาณิชย์เคยเจรจาสำเร็จมาก่อนหน้านี้
นั่นเป็นส่วนหนึ่งในหลังฉากศึกทุเรียนกลางวง ครม.
จะอย่างไรก็ตาม ต้องเร่งเคลียร์ศึกทุเรียนนี้โดยเร็ว โดยมีมาตรการที่ชัดเจน สอดรับกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่ประสานงากัน
หากม็อบทุเรียนบุกมาทำเนียบรัฐบาล มันน่าหวาดเสียวนะ