ทรัมป์2.0 พ่นพิษ ธุรกิจลังเล ฉุดจดตั้งใหม่2เดือนแรกหดตัว5% ญี่ปุ่นเหนียวแน่นลงทุนอีอีซี
GH News March 19, 2025 06:40 PM

ทรัมป์2.0 พ่นพิษ ธุรกิจลังเล ฉุดจดตั้งใหม่2เดือนแรกหดตัว5% ญี่ปุ่นเหนียวแน่นลงทุนอีอีซี

วันที่ 19 มีนาคม นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ธุรกิจจัดตั้งใหม่จำนวน 7,529 ราย ลดลง 579 ราย ลด 7.14% เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อน และทุนจดทะเบียน 16,335 ล้านบาท ลดลง 4,027 ล้านบาท ลด 19.78% ธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป 628 ราย ทุน 1,340 ล้านบาท อสังหาริมทรัพย์ 473 ราย ทุน 2,117 ล้านบาท ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 339 ราย ทุน 610 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งธุรกิจใหม่สะสม 2 เดือนปี 2568 รวม 16,391 ราย ลดลง 879 ราย ลด 5.09% มีทุนจดทะเบียน 41,285 ล้านบาท ลดลง 4,509 ล้านบาท ลด 9.85% ธุรกิจ จัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป 1,319 ราย ทุน 2,762 ล้านบาท อสังหาริมทรัพย์ 1,085 ราย ทุน 4,156 ล้านบาท และ ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 675 ราย ทุน 1,341 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจเลิกกิจการเดือนกุมภาพันธ์ มี 787 ราย เพิ่ม 81 ราย เพิ่ม 11.47% ทุนจดทะเบียนเลิก 2,417 ล้านบาท ลดลง 730 ล้านบาท ลด 23.19% ธุรกิจเลิกสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป 76 ราย ทุน 112 ล้านบาท อสังหาริมทรัพย์ 35 ราย ทุน131 ล้านบาท ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 34 ราย ทุน 96 ล้านบาท ทำให้เลิกสะสม 2 เดือนแรก 2568 มี 2,218 ราย เพิ่ม 320 ราย เพิ่ม 16.86% ทุนเลิกสะสม 7,017 ล้านบาท เพิ่ม 656 ล้านบาท เพิ่ม 10.31% เธุรกิจเลิกกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป 227 ราย ทุนเลิก 375 ล้านบาท ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 92 ราย ทุนเลิก 274 ล้านบาท อสังหาริมทรัพย์ 87 ราย ทุนเลิก 289 ล้านบาท

” แม้ตัวเลขการจดทะเบียนนิติบุคคลเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ดูจะชะลอตัวเพื่อรอดูสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลก หากวิเคราะห์เชิงลึกเห็นว่าอัตราการจัดตั้งธุรกิจต่อการจดเลิกปี 2568 อยู่ที่ 7 ต่อ 1 เป็นตัวเลขที่ดีกว่า 5 ปีย้อนหลัง ที่มีสัดส่วน 4 ต่อ 1 หรือตั้ง 4 ราย เลิก 1 ราย ” นางอรมน กล่าว

ทั้งนี้ ยอดการจดทะเบียนต้นปี 2568 ลดลง 5.09% ส่วนหนึ่งจากการที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับสถานการณ์และแรงกระทบต่างๆ จากภายในและภายนอกประเทศ ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาตร์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายด้านการค้าและภาษีของประเทศมหาอำนาจต่างๆ อย่างนโยบายทรัมป์ 2.0 ผนวกกับปัญหาค่าครองชีพ และสถานการณ์ผู้บริโภคต้องระมัดระวังใช้สอย ล้วนส่งผลให้ภาคธุรกิจชะลอการตัดสินใจดำเนินธุรกิจ รวมถึงจดทะเบียนธุรกิจต่างๆ แนวโน้มการส่งออกและเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตลอดจนคาดว่าจากสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและของโลกมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนหลักทั้งจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนของภาครัฐการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการ Easy E-Receipt ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ยอดการจดทะเบียนธุรกิจทั้งปี 2568 โตได้ตามเป้าหมายที่กรมตั้งไว้ 90,000 – 95,000 ราย

นางอรมน กล่าวต่อว่า ในส่วนการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ใน 2 เดือนแรก 2568 มี 181 ราย จำนวนเพิ่ม 73 ราย เพิ่ม 68% เทียบช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 8,738 ล้านบาท บวก 33% ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 38 ราย คิดเป็น 21% เงินลงทุน 13,676 ล้านบาท
จีน 23 ราย คิดเป็น 13% เงินลงทุน 5,113 ล้านบาท สิงคโปร์ 23 ราย คิดเป็น 13% เงินลงทุน 4,490 ล้านบาท สหรัฐ 19 ราย คิดเป็น 11% ของ เงินลงทุน 1,372 ล้านบาท และ ฮ่องกง 16 ราย คิดเป็น 9% เงินลงทุน 1,587 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ 2 เดือนแรก2568 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 57 ราย คิดเป็น 31% เพิ่มขึ้น 22 ราย เพิ่ม 63% มูลค่าการลงทุนใน EEC 17,546 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจาก ญี่ปุ่น 19 ราย ลงทุน 8,096 ล้านบาท จีน 14 ราย ลงทุน 2,751 ล้านบาท สิงคโปร์ 8 ราย ลงทุน 2,191 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ อีก 16 ราย ลงทุน 4,508 ล้านบาท ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกสินค้า แม่พิมพ์ที่ใช้สำหรับผลิตชิ้นส่วนพลาสติก อุปกรณ์และชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องทำความเย็น ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงาน ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป แม่พิมพ์ เป็นต้น

นางอรมน กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้วิเคราะห์ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตน่าสนใจในเดือนกุมภาพันธ์ พบว่า ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น มีทิศทางการสร้างผลประกอบการที่เติบโต แบ่งเป็นกลุ่มผลิต อาทิ ทำสวนไม้ประดับ ปลูกพืช เพาะพันธุ์ ปลูกกล้วยไม้ และไม้ดอกต่างๆ และกลุ่มขาย อาทิ ขายส่ง-ขายปลีกดอกไม้ ต้นไม้ เมล็ดพันธุ์พืช โดยกลุ่มขายเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพอย่างมาก ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไทยส่งออกไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ สูงถึง 9,325 ล้านบาท ไปสหรัฐ เวียดนาม และญี่ปุ่น โดยกว่าครึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกของกล้วยไม้ไทย 5,434 ล้านบาท ซึ่งส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลกมายาวนาน โดยส่งออกไปจีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย

ปัจจุบันมีนิติบุคคลในธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น 2,993 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผลิต 383 ราย และกลุ่มขาย 2,610 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 17,670 ล้านบาท ปี 2566 สร้างรายได้รวม 91,501 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มขาย ในปี 2566 สูงถึง 87,376 ล้านบาท และกำไร 2,473 ล้านบาท และตลอด 3 ปี(2564-2566) กลุ่มขายสามารถสร้างกำไรเติบโตต่อเนื่อง เป็น 1,842 ล้านบาท 1,932 ล้านบาท และ 2,473 ล้านบาท ตามลำดับ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.