จิราพร โชว์ผลงาน ปราบบุหรี่ไฟฟ้า ยอดจับพุ่ง 1.2 ล้านชิ้น มูลค่า 231 ล้านบาท ลั่นบังคับใช้กม.เข้มข้น ขยายผลเอาผิด ตามยึดอายัดทรัพย์สิน
เมื่อวันที่ 19 มี.ค.68 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผบ.ตร. นายวรณัฏฐ์ หนูรอต ที่ปรึกษาด้านการปกครองกระทรวงมหาดไทย นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมการกรมศุลกากร นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน น.ส.ทรงศิริ จุมพล รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมการแถลงข่าว ภายหลังการประชุมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า
น.ส.จิราพร ระบุว่า จากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ได้แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน ในระยะเร่งด่วน เพื่อปูพรมการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เน้นพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่รับผิดชอบของกรมศุลกากร ซึ่งมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยจะไม่มีการระงับคดีและส่งต่อไปยังตำรวจสอบสวนกลาง และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อสืบเส้นทางการเงินเพื่อยึดทรัพย์
ส่วนการปราบปรามร้านค้า ร้านที่มีที่ตั้งและออนไลน์ด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)ไ ด้ทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้น โดยหากจับกุมกรณีที่มีของกลางมูลค่าเกินกว่า 500,000 บาท จะส่งไปยังปปง. หากต่ำกว่า 500,000 บาท ตำรวจจะสืบทรัพย์และส่งต่อปปง. เพื่อดำเนินการ ส่วนกระทรวงดีอี สามารถปิดกั้นเพจและเว็บไซต์ต่างๆ ได้แล้วกว่า 9,500 กว่าเพจ
ขณะเดียวกันยังสร้างความตระหนักรู้ เรื่องโทษของบุหรี่ไฟฟ้าและข้อกฎหมายควบคู่กันให้กับประชาชน รวมไปถึงเน้นที่สถานศึกษา เพราะนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยไม่อยาก ไม่อยากให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าโดยง่าย โดยใช้กลไกที่มีอยู่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว ต้องนำข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาทบทวน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
น.ส.จิราพร กล่าวถึงความคืบหน้ามาตรการเร่งด่วน โดยเฉพาะการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าและกวาดล้าง นับจากวันที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ได้เริ่มดำเนินการทันที โดยมียอดตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ. – 18 มี.ค. ยอดการจับกุมดำเนินคดี 1,741 คดี ผู้ต้องหา 1,789 คน ของกลาง 1,285,024 ชิ้น มูลค่า 231,881,074 บาท
น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า มีการยกระดับการทำงานที่เข้มข้น ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี มีการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่เข้ามาจัดการ โดยเฉพาะมีส่งข้อมูลไปยัง ปปง.เพื่อสืบเส้นทางการเงินและขยายผลการจับกุมไปถึงต้นตอรายใหญ่ นอกจากนี้ยังมีช่องทางการแจ้งเบาะแสส่วนต่างๆ แล้ว มีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ประชาชนสามารถแจ้งผ่านทางแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ที่พัฒนาร่วมกันกับกระทรวงดีอี
น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า หลังจากการดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มข้นจะรายงานนายกรัฐมนตรี?ตามที่ได้รับมอบหมาย 30 วัน หรือในวันที่ 27 มี.ค.2568 ซึ่งต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่ทำงานอย่างเข้มข้นเหลือเวลาอีก 1 สัปดาห์ ในการส่งรายงานให้กับนายกรัฐมนตรี ถึงสถิติการจับกุม อุปสรรคและข้อปัญหาต่างๆที่จะมีการแก้ไขปัญหาทางระยะสั้นและระยะยาว
พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวถึงการจับกุมผู้นำเข้าจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยผลปฏิบัติการตั้งแต่ปี 67 จับกุมไปกว่า 1,400 กว่าราย ของกลางกว่า 1,600,000 ชิ้น มูลค่าการจับกุม 300 กว่าล้านบาท และในปี 2568 ตั้งแต่เดือน ม.ค.จนถึงปัจจุบัน จับกุมกว่า 1,800 ราย ของกลางกว่า 1,400,000 ชิ้น แต่ไฮไลท์อยู่ในช่วงที่รัฐบาลดำเนินการเข้มงวด กวดขัน ตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ.จนถึงวันที่ 18 มี.ค. จับกุมไปแล้วกว่า 1,700 ราย ของกลางกว่า 1 ล้านชิ้น ซึ่งเป็นการจับกุมรายใหญ่ถึง 24 ราย ของกลาง 1,200,000 ชิ้น มูลค่าของกลางคำนวณได้กว่า 248 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการจับกุมในปี 67 เราจับกุมได้มากขึ้นกว่า 468 ราย
พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวย้ำว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพและผิดกฎหมาย มีส่วนผสมหลายอย่างที่ไม่ควรนำมาใช้ในประเทศไทย และอีกข้อกฎหมายที่อยากจะแนะนำที่มีการนำไปใช้และเผยแพร่ ขายหรือจำหน่าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 600,000 บาท ,ครอบครองรับฝาก มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของราคาประเมิน, นำเข้าหรือผลิต จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 5 เท่าของราคาประเมิน สูบบุหรี่ไฟฟ้าในเขตปลอดบุหรี่ ปรับ 5,000 บาท
หากผู้ใดพบเห็นการลักลอบผลิต ขายบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ หรือแจ้ง สคบ. ได้ที่สายด่วน 1166 เว็บไซต์ www.ocpb.go.th แอปพลิเคชัน OCPB Connect รวมทั้งศูนย์ดำรงธรรม ในทุกจังหวัด