ตลอด 2 วันที่ผ่านมา 24-25 มี.ค.68 การอภิปรายไม่ไว้วางใจทั่วไป ตามมาตรา 151 ต้องยอมรับว่า งานนี้ “ฝ่ายค้าน” ถล่ม “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ลงแล้ว ยังเห็นได้ชัดว่าเกิดปฏิกิริยา “สู้กลับ” เพราะ “ลูกสาวทักษิณ” ไม่ยอมให้ใครมาไล่บี้กลางสภาฯ เอาง่ายๆ !

ประเด็นที่ “ฝ่ายค้าน” ประกาศกร้าวว่าจะถล่ม “นายกฯ” ให้อยู่หมัด บนความตั้งใจและมั่นใจว่า คนที่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน อาจถูกต้อนให้จนกระดานได้ไม่ยาก เหมือนสมันน้อย

หลายคนจับตาว่า “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ผู้เป็นพ่อ ผู้ที่ส่งเธอเข้ามาสู่ “แดนสังหาร” ในสังเวียนการเมือง เช่นนี้จะทำอย่างไรเพื่อ ช่วยลูกสาวในสภาฯ เพราะทักษิณ คือ “คนนอก” ที่ไม่สามารถเข้ามาชี้แจงฝ่ายค้านด้วยตัวเองได้  ทำได้มากที่สุดคือการเกาะติดการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มอร์นิเตอร์ เพื่อช่วยอยู่นอกสภาฯ หรือทำได้มากที่สุดคือการส่ง “มือทำงาน” ที่ไว้ใจ คอยประกบนายกฯ

นอกจากนี้ นายกฯยังถูกประเมินว่าเธอเองอาจจะ “คุมอารมณ์” ไม่อยู่ เมื่อต้องเจอกับการอภิปรายเสียดสี โดยเฉพาะเรื่องที่พาดพิงไปถึงพ่อ กรณี “ชั้น 14”  ดังนั้นนอกเหนือไปจาก “ทีมองครักษ์” ที่พรรคเพื่อไทยจัดสรรเอาไว้ เพื่อช่วยรับมือเกมในสภาฯ แล้ว ปราการอีกชั้นหนึ่งคือการให้ “รัฐมนตรี” ทั้งจากพรรคเพื่อไทยเอง ตลอดจน “พรรคร่วมรัฐบาล” ทำหน้าที่ชี้แจงในเรื่องที่เกี่ยวเนื่อง

ตลอด 2 วัน สำหรับเกมในสภาฯ  ได้สะท้อนในด้านหนึ่งให้เห็นแล้วว่า นายกฯแพทองธาร เธอเองสามารถ “เอาตัวรอด”  และป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งยังโต้ตอบกับ “ศัตรู” ที่ใครต่อใครประเมินว่า “น่ากลัว” เพราะอาจจะกุมความลับเอาไว้ในมืออย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

แต่กลับ “ผิดคาด” เพราะนายกฯแพทองธาร เลือกที่จะใช้คำพูดของบิ๊กป้อมเองในอดีต มาตอบเขาในวันนี้ ด้วยวลีสั้น ๆว่า “ที่ท่านพูดมาทั้งหมดไม่เป็นความจริง” ทำให้ นายกฯเป็นฝ่าย “ได้แต้ม” จากกองเชียร์ นอกสภาฯ

อย่างไรก็ดี การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ถูกมองว่าแม้จะเป็นศึกนัดแรก แต่เธอเองก็ทำได้ไม่เลวทีเดียว  และขณะเดียวกัน ภายใต้ความเคลื่อนไหวจาก “ฝ่ายค้าน” ในวาระซักฟอก นายกฯครั้งนี้ แม้ในญัตติจะพุ่งเป้าไปที่นายกฯเพียงคนเดียว ก็ตาม แต่กลับมีข่าวสะพัดที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรกว่า ศึกครั้งนี้จะไม่ถึงขั้นเอา นายกฯให้ถึงกับตายกลางสภาฯ

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “ฝ่ายค้าน” เองที่ยังอยู่ในอาการ “ชกไม่เต็มหมัด” จะด้วยเพราะ “ไมตรี” หรือ “ฝีมือ” ที่ยังไม่จัดจ้านมากพอ จึงทำให้ นายกฯแพทองธาร แทบไม่บาดเจ็บ ไม่มีแผลฉกรรจ์ ตามที่ “กองแช่ง” จากฝ่ายที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลและตัวนายกฯ 

ศึกซักฟอกครั้งนี้ อาจเป็น “นัดสุดท้าย” สำหรับพรรคประชาชน พรรคสีส้มในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน  ซึ่งอาจจะหมดโอกาส กลับมาขึ้นสังเวียนได้อีก หากในราวกลางปีนี้ คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติชี้มูลข้อหาผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีคดี 44 อดีตสส.ก้าวไกล ที่ร่วมกันลงชื่อเสนอแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเมื่อเรื่องไปถึงศาล แน่นอนว่า คำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส.ในสภาฯ สำหรับอดีตสส.ก้าวไกล ที่กลายมาเป็นสส.พรรคประชาชน ในปัจจุบัน ซึ่งจะอยู่ที่จำนวน 25 สส.หรือไม่ หรืออาจจะน้อยกว่านั้น แต่ “แรงสะเทือน” ต่อพรรคสีส้ม จะกลายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่สำหรับนายกฯแพทองธาร ศึกครั้งนี้คือสมรภูมิ ที่เธอสามารถผ่านพ้นไปได้แล้ว ส่วนหลังจากที่ จะต้องเจอกับ “ปฏิบัติการโรยเกลือ” ด้วยการขยายผล ประเด็นที่เข้าข่ายกระทำความผิด ไปยื่นร้องต่อองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ต่อไป ตามที่ฝ่ายค้าน ทั้งพรรคประชาชน และพรรคพลังประชารัฐ ได้ประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ ล้วนแล้วต้องใช้ระยะเวลา ยืดเยื้อ ยาวนาน เผลอๆอาจจะยื้อไปถึงรัฐบาลอยู่จนครบวาระพอดิบ พอดี !