ข่าวดี!รับสงกรานต์ “เบนซิน-ดีเซล” พร้อมใจลดราคา อย่าชะล่าใจ “น้ำมัน-เงิน” หมด หายากที่จะทดแทน!!
GH News March 29, 2025 08:05 AM

เป็นข่าวดี!ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง โดยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล เตรียมที่จะลดราคาลงลิตรละ 1 บาท เพื่อบรรเทาค่าครองชีพ รองรับกลับภูมิลำเนา และหนุนการท่องเที่ยว หลังราคาน้ำมันตลาดโลกอ่อนตัว และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ภาระหนี้ลดลง

โดยข่าวดีนี้เกิดขึ้นจากการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน

ซึ่งที่ประชุมไฟเขียวให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลงสำหรับกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลง 1 บาทต่อลิตร โดยการปรับลดราคาดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 2 ระยะ ครั้งละ 50 สตางค์ต่อลิตร เริ่มครั้งที่ 1 ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 และครั้งที่ 2 วันที่ 4 เมษายน 2568 โดยการปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันดังกล่าวเป็นการดูแลราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้สอดรับกับแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง ขณะที่สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เริ่มมีรายรับเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้การปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯครั้งนี้คาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯประมาณ 100 ล้านบาทต่อวัน แบ่งเป็นเงินสำหรับการลดราคาน้ำมันดีเซล ประมาณ 67 ล้านบาทต่อวัน และเบนซินประมาณ 32 ล้านบาทต่อวัน ส่วนกรอบระยะเวลาการอุดหนุนนั้นยังไม่ได้กำหนด เพราะจะดูจากสถานะกองทุนน้ำมันฯเป็นหลัก

ส่วนของก๊าซหุงต้ม (LPG) จะมีการหารือในที่ประชุมอีกครั้งในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ เนื่องจากมาตรการตรึงราคา LPG สิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคมนี้ คาดว่าจะยังคงตรึงราคา LPG ที่ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัมต่อไป

ขณะที่สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) รายงานถึงสถานการณ์ และฐานะของกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงต้นปี (มกราคม 2568 - วันที่ 23 มีนาคม 2568) พบว่า ฐานะกองทุนน้ำมันฯ มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านราคาน้ำมันดิบดูไบช่วงที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเฉลี่ยกว่า 8,000 ล้านบาท/เดือน ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ จากเดิมเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 กองทุนฯ ติดลบอยู่ที่ 75,945 ล้านบาท (บัญชีน้ำมันติดลบ 29,009 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 46,936 ล้านบาท) ปัจจุบันสถานะกองทุนน้ำมันฯ ปรับลดลงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 เหลือติดลบ 60,052 ล้านบาท (บัญชีน้ำมันติดลบ 14,063 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 45,989 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตามได้มีการคาดการณ์ถึงความต้องการใช้พลังงานปี 2568 โดย “นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สนพ.คาดภาพรวมความต้องการใช้พลังงานขั้นต้นของปี 2568 อยู่ที่ระดับ 2,105 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 จากสภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งความต้องการใช้พลังงานขั้นต้นรายสาขาดังนี้ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 และ 2.8 ตามลำดับ โดยในส่วนของน้ำมันเป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้น้ำมันทุกประเภท โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของน้ำมันเครื่องบิน เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวทั่วโลก และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การใช้น้ำมันชนิดอื่นในภาคขนส่งขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย

เช่นเดียวกับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เป็นการเพิ่มจากการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าและการใช้ในภาคอุตสาหกรรม ถ่านหิน คาดว่าจะเพิ่มร้อยละ 2.5 จากการใช้ถ่านหินนำเข้าที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนลิกไนต์

การใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า คาดว่าจะลดลงร้อยละ 2.1 จากความต้องการนำไฟฟ้าเข้าจาก สปป.ลาว ที่คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับฐานที่สูงของปี 2567 ขณะที่ไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.1 สอดคล้องกับปริมาณน้ำฝนของปี 2567 ที่สูงกว่าค่าปกติซึ่งส่งผลให้มีปริมาณน้ำสะสมในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่สูงกว่าปี 2567

ในส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป ปี 2568 คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 จากการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันเครื่องบิน ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลให้การใช้น้ำมันสำเร็จรูปประเภทอื่นขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

โดยในส่วนน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เนื่องจากแนวโน้มการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด การใช้น้ำมันดีเซลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 สอดคล้องกับการขยายตัวของการส่งออกสินค้าและแนวโน้มผลผลิตสินค้าเกษตรที่คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

และการใช้ LPG ในส่วนที่ไม่รวมการใช้เป็น Feed stocks ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในขณะที่การใช้น้ำมันเตาคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 สอดคล้องกับการขยายตัวของการส่งออกสินค้า และคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในปี 2568 คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 สอดรับกับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ

นายวัฒนพงษ์ กล่าวสรุปถึงสถานการณ์พลังงานของประเทศไทยในปี 2567ว่า มีการใช้พลังงานขั้นต้นอยู่ที่ 2,046 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 โดยเพิ่มขึ้นเกือบทุกชนิดเชื้อเพลิงในส่วนของการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 จากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 และการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 จากไฟฟ้านำเข้าที่เพิ่มขึ้น

โดยน้ำมันสำเร็จรูปมีปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 140.6 ล้านลิตรต่อวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 โดยปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 68.8 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.05 และปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ 31.4 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.3

ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล จะลดลง เราเองก็ต้องช่วยกันประหยัดในการใช้พลังงาน เพราะ “น้ำมัน-เงิน” หมดแล้วมันหายาก!!!

 

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.