ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 สมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย และกลุ่มเกษตรผู้เลี้ยงโคเนื้อกว่า 60 กลุ่มจากทั่วประเทศ ได้รวมตัวกันหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อที่จะเข้ายื่นหนังสือต่อ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการคัดค้านนโยบายการเปิดการการนำเข้าเนื้อโคและเครื่องในโคจากสหรัฐอเมริกา ภายหลังจากที่ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้มีการประกาศมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้า โดยเฉพาะประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้า รวมถึงประเทศไทย
ทั้งนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ มีความกังวลใจ จากกรณีที่รัฐบาลมีแผนจะเจรจาเปิดช่องในการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ยอมรับว่าหากมีการนำเข้าเนื้อโค จากสหรัฐจะกระทบตลาดภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันก็มีการทุ่มตลาดจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ อย่างไรก็ดี ภายหลังจากยื่นหนังสือแสดงความกังวลใจ เบื้องต้น นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมนายอิทธิ ศิริลัทธยากร และนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และปลัดกระทรวงเกษตรฯ ได้ร่วมประชุมหารือ รับฟังความคิดเห็นและปัญหาของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ
ด้านนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับ ข้อเรียกร้องดังกล่าวจากเกษตรกรผู้เลี้ยง และพร้อมที่จะนำส่งหนังสือ ความเห็นและข้อกังวลให้คณะทำงานและทีมเจรจา ที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายไว้ และหลังจากนี้ ตนจะเข้าพูดคุยเพื่อสะท้อนปัญหาข้อกังวลของเกษตรกร เพื่อหาแนวทางในการปรับแผนเจรจาไม่ให้ผลส่งผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรต่อไป
นายสัตวแพทย์ วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย สมาชิกสมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากลุ่มเกษตรกรโคเนื้อไม่เคยสร้างปัญหาในด้านการส่งออกกับสหรัฐอเมริกา และที่ต้องคัดค้านการนำเข้าเนื้อโคจากอเมริกาเนื่องจากเนื้อโคจากสหรัฐอเมริกา มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงซึ่งขัดกับกฏหมายของประเทศไทย และจะส่งผลถึงความปลอดภัยด้านอาหารของประเทศไทย อีกทั้งที่ผ่านมา เกษตรกรผู้เลี้ยงโคยังได้ ช่วยเหลือและอุดหนุนสินค้าเกษตรอื่นๆของไทย มาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งการที่รัฐบาลมีแนวทางที่จะเปิดนำเข้าเนื้อโคและเครื่องในโคจากสหรัฐฯ เพื่อต่อรองในมาตรการด้านภาษี ลดการขาดดุลด้านการค้า มองว่าไม่ยุติธรรมสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคกว่า 1.4 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ หรือ โคเนื้อ 9.6 ล้านตัว ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 2.8 แสนล้านบาท ที่ปัจจุบันต้องเผชิญปัญหาราคาโคตกต่ำจากการแข่งขันในตลาดจากการเปิดการค้าเสรี (FTA) กับประเทศออสเตรเลีย และประเทศนิวซีแลนด์อยู่แล้ว สมาคมฯ จึงต้องการให้ยกเลิกการนำเข้าเนื้อและเครื่องในโคจากสหรัฐฯ เพราะจะซ้ำเติมเกษตรกรในการผลิตเนื้อ เกรดพรีเมียม และยังขัดต่อกฎหมายไทยที่ห้ามการเลี้ยงสัตว์ด้วยสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งสหรัฐมีการใช้สารดังกล่าวในการเลี้ยงโคเนื้อ
นายสมภพ เอื้อทรงธรรม เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ธุรกิจอาหารสัตว์ในประเทศไทย มีปริมาณการผลิต 21 ล้านตันต่อปี แต่ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาเติบโตราว 1.1% ต่อปีเท่านั้น เพราะข้อจำกัดด้านวัตถุดิบที่ไม่มากพอ โดยสามารถผลิตอาหารสัตว์เพื่อการส่งออกได้เพียง 2% จากผลผลิตอาหารสัตว์ทั่วโลก 1,200 ล้านตัน หากรัฐบาลมีแผนการนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเครื่องในสัตว์ เพื่อใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ ก็จะส่งผลดี อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เพื่อการส่งออก มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มมวลชนจากสมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย และกลุ่มเกษตรผู้เลี้ยงโคกว่า 60 กลุ่ม เผยว่า สำหรับการมาของเกษตรกรผู้เลี้ยงโควันนี้เพื่อเป็นการยืนยันถึงผลกระทบที่คาดว่าจะได้รับ จากมาตรการนำเข้าเนื้อโคและเครื่องใน ไม่ใช่วัตถุดิบที่น่าจะนำมาผลิตอาหารสัตว์ ขณะที่การเคลื่อนไหวหลังจากนี้ ในช่วงบ่ายวันนี้ทางกลุ่มสมาคมสมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย และกลุ่มเกษตรผู้เลี้ยงโค จะเข้ายื่นหนังสือต่อ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และในวันที่ 22 เมษายน 2568 จะเดินทางไปยื่นหนังสือที่พรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้ทบทวนมาตรการนำเข้าเนื้อโคดังกล่าวด้ว
ด้านนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หนึ่งในแผนที่จะใช้เจรจา เพื่อลดการขาดดุลการค้ากับสหรัฐ คือการนำเข้าเนื้อวัวและเครื่องในวัวจากสหรัฐ ยืนยันเป็นเพียงแนวคิดในการนำเข้ามาเพื่อผลิตอาหารสัตว์ ไม่ได้นำเข้ามาเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน และขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดปริมาณว่าจะเปิดให้มีการนำเข้ามากน้อยแค่ไหน เป็นเพียงข้อเสนอของผู้ผลิตอาหารสัตว์ ที่มีความต้องการอยู่มาก