"คริสตัล พาเลซ" ปะทะ "แมนเชสเตอร์ ซิตี" ชิงถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง "เอฟเอ คัพ"
ฟุตบอลเก่าแก่ที่สุดในโลก รายการเอฟเอ คัพ เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ครั้ง 153 ในวันเสาร์ที่ 17 พ.ค. 68 เป็นการพบระหว่าง คริสตัล พาเลซ ทีมที่ยังไม่เคยได้แชมป์รายการนี้ กับ แมนฯ ซิตี แชมป์ 7 สมัย และรองแชมป์เก่า
วัดดีกรีชัดเจนว่า เรือใบ ของแรงกว่าเยอะ แต่ฤดูกาลนี้ถือว่าน่าผิดหวังในมาตรฐานที่ เปป กวาร์ดิโอลา สร้างไว้ เพราะหมดลุ้นทั้งในลีกและแชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างรวดเร็ว นี่จึงเป็นรายการเดียวที่จะปลุกปลอบหัวใจเหล่า “ซิติเซนส์” ได้บ้าง ต่างจาก พาเลซ ที่ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ เพิ่งเข้ามาคุมทีมเมื่อเดือน ก.พ. ปีก่อน แต่เสกให้ พาเลซ กลายเป็นคนละทีม และผ่านเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ เป็นครั้งที่ 3 ของสโมสร
ฤดูกาลที่แล้ว ขนาดเข้ามาทำทีมตอนปลายฤดูกาล แต่ กลาสเนอร์ ทำ พาเลซ ได้แต้มเยอะที่สุดในการเล่นพรีเมียร์ลีก คือ 49 คะแนน มาฤดูกาลนี้ เหลืออีก 2 เกม กลาสเนอร์ นำ พาเลซ เก็บได้แล้ว 49 คะแนน โอกาสที่จะทำลายสถิติอีกครั้งจึงมีสูง กุนซือออสเตรียน ยังเคยปั้นทีมอย่าง แฟรงก์เฟิร์ต ให้ยิ่งใหญ่ในบุนเดสลีกา และคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก ในปี 2022 การได้เขามาคุมทีม จึงเหมือนถูกหวย
คู่ชิงครั้งนี้ แม้ดูว่าชื่อชั้นเป็นรองกันเยอะ แต่บอกเลยว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ และอาจมีพลิกล็อกครั้งใหญ่ก็เป็นได้?
เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ
คริสตัล พาเลซ – แมนฯ ซิตี
วันที่: เสาร์ที่ 17 พฤษภาคม 2568
เวลา: 22.30 น.
สนาม: เวมบลีย์
ถ่ายทอดสด: บีอิน สปอร์ตส์, เอไอเอส เพลย์, ทรูวิชั่นส์
คริสตัล พาเลซ
“ดิ อีเกิลส์” คริสตัล พาเลซ ไม่เคยได้แชมป์เอฟเอ คัพ มาก่อน ดีที่สุดคือเข้าชิงชนะเลิศ 2 ครั้ง ในปี 1990 และ 2016 แต่แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ทั้ง 2 ครั้ง กระนั้นช่วงหลัง พวกเขาไม่แพ้ใครมา 5 เกมติด สัปดาห์ก่อน บุกไปชนะ สเปอร์ 2-0 ในลีก ทำให้เตะ 36 นัด มี 49 คะแนน อยู่ที่ 12 ส่วนในเอฟเอ คัพ รอบตัดเชือก ชนะทีมแกร่งอย่าง แอสตัน วิลลา 3-0 ผงาดเข้าชิง ครั้งที่ 3
โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ กุนซือชาวออสเตรีย มีปัญหาต้องเช็กความฟิต อดัม วอร์ตัน มิดฟิลด์ตัวเก่ง ที่เจ็บเท้า แต่ตัวหลักคนอื่นลงเล่นได้ โดยใช้ระบบ 3-4-2-1 ผู้รักษาประตูเป็น ดีน เฮนเดอร์สัน เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 คนใช้ คริส ริชาร์ดส์, แม็กซองต์ ลาครัวซ์ และ มาร์ค เกฮี
โดยมี ดาเนียล มูนยอซ กับ ไทริค มิตเชลล์ เป็นวิงแบ๊ก 2 ข้าง ขณะที่แดนกลาง ถ้าหาก วอร์ตัน ไม่ไหว จะใช้ วิลล์ ฮิวจ์ส กับ เจฟเฟอร์สัน เลอร์มา ลงคู่กัน แล้วเกมรุกริมเส้นมี อิซไมลา ซาร์ กับ อีเบเรชี เอเซ ทำเกมสนับสนุน ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตตา หน้าตัวเป้า
แมนเชสเตอร์ ซิตี
“เรือใบสีฟ้า” มีฤดูกาลที่ต่ำกว่ามาตราฐาน แต่ยังมีลุ้นแชมป์ติดมือ แม้ปีก่อนจะแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในรอบชิงดำ 1-2 แต่เคยได้แชมป์เอฟเอ คัพ มาแล้ว 7 สมัย จากการเข้าชิง 14 ครั้ง ถ้าหากได้ครั้งนี้จะเป็นแชมป์ครั้งที่ 8 เท่ากับ เชลซี, ลิเวอร์พูล และ สเปอร์ อย่างไรก็ตาม ผลงานในเกมล่าสุด ถือว่าแผ่วลงไปเล็กน้อย เมื่อทำได้แค่บุกไปเสมอ เซาแธมป์ตัน 0-0 หลังชนะมา 4 เกมรวด ทำให้เตะ 36 นัด มี 65 คะแนน อยู่ที่ 4 และไม่แพ้ใครในทุกรายการมาถึง 10 เกมติด ส่วนในรอบตัดเชือก ชนะ ฟอเรสต์ นิ่มๆ 2-0 เข้าชิงเป็นครั้งที่ 15
เปป กวาร์ดิโอลา ไม่มีนักเตะที่เจ็บอย่าง จอห์น สโตนส์, ออสการ์ บ็อบ, นาธาน อาเก และ โรดรี แต่ที่เหลือพร้อมลง และคงจัดเต็มแน่ โดยมี สเตฟาน ออร์เตกา เฝ้าเสา เกมรับใช้ รูเบน ดิอาส กับ มานูเอล อาคานจี เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ แล้วใส่ ยอสโก กวาดิโอล กับ ริโก ลูอิส เป็นแบ๊ก 2 ข้าง แดนกลาง มาเตโอ โควาซิซ ทำเกมกับ แบร์นาร์โด ซิลวา โดยมี เควิน เดอ บรอยน์, ฟิล โฟเดน และ โอมาร์ มาร์มุช ทำเกมรุกสนับสนุน เออร์ลิง ฮาลันด์ ที่น่าจะพร้อมสตาร์ตตัวจริง
ความน่าจะเป็นของเกม
สถิติการเจอกันของคู่นี้ แมนฯ ซิตี เหนือกว่าเยอะ และไม่แพ้ พาเลซ 7 เกมหลังในทุกรายการ ล่าสุดเจอกันในลีก เมื่อช่วงสงกรานต์ เรือใบ ก็เปิดบ้านไล่ยำไป 5-2 โดย พาเลซ ชนะ แมนฯ ซิตี ครั้งหลังสุด ต้องย้อนไปถึงปี 2021 และคู่นี้เจอกันทีไร มักจะมีสกอร์กันเยอะ
เกมนี้ บอกเลยว่า อะไรก็เป็นไปได้ เพราะ พาเลซ มุ่งมั่นมาก และกำลังลงตัวทุกตำแหน่ง เกมรับก็ปึ้ก เกมรุกก็อันตราย แมนฯ ซิตี ที่ถูกมองว่าเหนือกว่าจึงไม่ง่าย อยู่ที่พวกนักเตะพิเศษอย่าง โฟเดน, ฮาลันด์, เดอ บรอยน์ จะงัดฟอร์มได้ดีแค่ไหน และเกมรับ ก็ไม่รู้จะรับมือความใหญ่ของพวก พาเลซ ได้หรือไม่ ดังนั้นนัดนี้สูสีแน่ และออกได้ทุกหน้า จึงมีโอกาสเสมอกัน แล้วไปต่อเวลาหรือยิงจุดโทษ
ผลที่คาด
คริสตัล พาเลซ เสมอ แมนฯ ซิตี 2-2