สว.อิสระค้าน พุธนี้สภาสูงลงมติเห็นชอบป.ป.ช.-ตั้งกมธ.สอบประวัติว่าที่กกต. ยกเหตุเพื่อป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หลังสว.เกินครึ่งมีเรื่องค้างที่ตึกป.ป.ช.-กกต.
21 ธ.ค.2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า จากกรณีที่ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา ในวันพุธที่ 24 ธ.ค.นี้ หลังมีการประกาศเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค.2568
ซึ่งการประชุมดังกล่าว มีระเบียบวาระการประชุมสำคัญสองเรื่องคือ การให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการป.ป.ช.จำนวนสองคนที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหาฯ คือ นายสุชาติ สุนทรีเกษม อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และนายมนูภาน ยศธแสนย์ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางและอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ใหม่จำนวนสองคน ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหาฯ คือนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อดีตอธิบดีกรมเจ้าท่าและกรมขนส่งทางบก อดีตประธานบอร์ดการรถไฟแห่งประเทศไทย กับนายมณฑล สุดประเสริฐ อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง
ทางด้านความเคลื่อนไหวจากสมาชิกวุฒิสภา ต่อกรณีดังกล่าว มีรายงานว่า นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว.กลุ่มอิสระ ได้เสนอญัตติต่อประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้วุฒิสภาชะลอการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง และให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยมีการยื่นเมื่อ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา
นายเทวฤทธิ์ ให้เหตุผลในการเสนอให้ชะลอทั้งสองเรื่องดังกล่าวออกไปว่า เพื่อป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เนื่องด้วยขณะนี้มี สว. จำนวนมากเกินครึ่งที่มีเสียงอย่างมีนัยสำคัญต่อการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ ตกเป็นผู้ร้องและถูกร้องหรือถูกตรวจสอบทั้งโดย กกต. และ ป.ป.ช. ดังนั้นการให้ความเห็นชอบผู้ที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบและตัดสินในคดีที่ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องจึงอาจเสี่ยงต่อการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และกระทบต่อหลักความเป็นธรรม และเห็นว่า หากมีการเดินหน้าให้ความเห็นชอบไม่เพียงกระทำต่อความเชื่อมั่นศรัทธาในการทำงานของ สว. เท่านั้น แต่ยังกระทบต่อความเชื่อมันศรัทธาต่อการทำงานขององค์กรอิสระเหล่านั้นที่จะต้องดำรงตำแหน่งต่อไปอีก ไม่เพียงการให้ความเห็นชอบบุคคลเหล่านั้นจะกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาในการทำงาน
นายเทวฤทธิ์ ระบุว่า การไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลเหล่านั้นอาจถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับทัศนคติที่มีต่อ สว. ด้วยนั้นก็จะเป็นการไม่เป็นธรรมกับบุคคลเหล่านั้นที่ไม่ได้รับการพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวเช่นนั้น การชะลอไม่ได้ทำให้อำนาจของ สว. เสียไป หากแต่ยังมีอำนาจเต็มที่จะกลับมาพิจารณาเมื่อคดีที่ สว.จำนวนมากตกเป็นผู้ร้องและถูกร้องในคดีมีความชัดเจนหรือมีคำวินิจฉัยแล้วเสร็จ ยังเป็นการพิจารณาโดยไม่ถูกสังคมตั้งประเด็นต่อความเชื่อมั่นศรัทธาในการทำงานด้วย
“สำหรับข้อกังวลต่อผลกระทบในการทำงานขององค์กรอิสระเหล่านั้นหากไม่สามารถตั้งคนเข้ามาแทนได้ กฎหมายก็ยังอนุญาตให้ผู้ที่พ้นวาระแต่ยังไม่ครบ 70 ปี สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีกรรมการใหม่แทน อีกข้อกังวลของ สว. เรื่องการชะลอจะเป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่นั้น สำหรับการพิจารณาประเด็นนี้ต้องมี “เจตนาพิเศษ” เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดด้วย ดังนั้นกรณีนี้จึงไม่เข้าการละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยเหตุผลข้างต้นจึงเห็นว่า สว. ควรชะลอกระบวนการให้ความเห็นชอบ 2 ป.ป.ช. และการตั้ง กมธ.สอบประวัติผู้ได้รับเสนอชื่อเป็น 2 กกต. ออกไปก่อนจนกว่าคดีที่ สว.จำนวนมากที่กำลังอยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์กรดังกล่าวจะมีความชัดเจนหรือมีคำวินิจฉัยจนพ้นอำนาจองค์กรเหล่านั้น”นายเทวฤทธิ์ ระบุ.