เมื่อวันที่ 1 มีนาคม นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า SME มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสะท้อนผ่านมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของ SME ต่อ GDP ประเทศซึ่งมากกว่าร้อยละ 35 และยังเป็นแหล่งการจ้างงานที่สำคัญของแรงงานในประเทศ โดย SME มีสัดส่วนการจ้างงานร้อยละ 72 ของการจ้างงานทั้งประเทศ การต่อยอดธุรกิจของ SME สู่ระดับสากลที่ให้ความสำคัญต่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นการเสริมสร้างศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่จำเป็นอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ SME ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งริเริ่มและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ การสนับสนุน SME จึงเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ด้วยบทบาทที่สำคัญเหล่านี้ ทำให้การพัฒนาและส่งเสริม SME เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
กระทรวงอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนนโยบายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเสริมสร้างศักยภาพ SME มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดำเนินงานของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่พร้อมยกระดับธุรกิจ SME ไทยให้เติบโตผ่าน 2 โครงการ คือ
ดังนั้น การสร้างโอกาสให้ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่นที่บริษัท บางกอกประกาย จำกัด ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับโคมไฟ ได้มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัล ซึ่งได้รับการสนับสนุนให้คำปรึกษาแนะนำจากทีมผู้เชี่ยวชาญกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ในเรื่อง Digital Transformation การปรับปรุงคุณภาพการทำงาน การเปลี่ยนสินค้าค้างคงคลังให้มาเป็นเงินทุนใหม่ และสามารถนำกลับมาเป็นรายได้ช่วยเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นกว่า 50% มีเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นกว่า 15%
ด้านบริษัท ไทยฟอร์โมซาพลาสติกอินดัสทรี จำกัด เป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกทั้งในและต่างประเทศ ในชื่อ “ถุงเพาะชำตราแสนดี” ที่ผ่านมาธุรกิจพบปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ซึ่งได้เข้าร่วมโครงการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืน ซึ่งได้รับคำปรึกษาแนะนำในเรื่อง แผนผังกระบวนการในองค์กร (Process flow) การใช้เทคโนโลยีเพื่อการปฏิบัติงานของคนและเครื่องจักร หรือ Line Balancing แนะนำเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO) ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงกว่า 14.96% กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 150% ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น
ทั้งนี้ โครงการ พัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัลสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีใหม่ (Digital Transformation) ในกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการเพิ่มผลิตภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลได้มากถึง 260 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52 เท่าของวงเงินงบประมาณโครงการ
ส่วนโครงการ ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Productivity) เน้นยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีการใช้พลังงานสูง สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน การลดต้นทุน และเพิ่มรายได้และขยายโอกาสทางธุรกิจได้มากถึง 123 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24 เท่าของวงเงินงบประมาณโครงการ
“กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐมุ่งมั่นส่งเสริมและพัฒนา SME ไทย ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน ผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของ SME และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย” นายณัฐพล กล่าว