ท่ามกลางการพัฒนาด้านนวัตกรรม มีหลายเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการดูแลสิ่งแวดล้อมหรือลดการปล่อยคาร์บอน เพราะเป็นหมุดหมายสำคัญของทุกหน่วยงานไม่ว่าจะดำเนินงานจากกลุ่มการผลิตใดก็ตาม โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เองก็มีวิสัยทัศน์ที่สำคัญ ภายใต้การนำของ นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ คือ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ด้วยเหตุนี้การเดินหน้าธุรกิจที่จะเข้ามาตอบโจทย์ความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
โดยแผนการดำเนินงานล่าสุดได้มีการกำหนดทิศทางกลยุทธ์ว่า จะมุ่งเน้นผลักดันเป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางพลังงานและการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมดุล โดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนองค์กร ผ่านการสร้างความสมดุลระหว่างการสร้างผลกำไรอย่างเหมาะสมจากการดำเนินธุรกิจ และการสร้างความยั่งยืนเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี 2593 โดยนอกจากจะเดินหน้าธุรกิจให้มีการเติบโตที่แข็งแกร่งแล้วนั้น ยังได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจใหม่ๆ (Growth: Necessity & Opportunity) ปตท.มุ่งต่อยอดสร้างการเติบโตในธุรกิจไฮโดรเจนและคาร์บอนแบบบูรณาการ โดยผลักดันไฮโดรเจน และเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) ให้เป็นตัวช่วยในการกักเก็บและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของกลุ่ม ปตท. นอกจากนี้ยังมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ภายในกลุ่ม ปตท.อย่างชัดเจน โดยมี ปตท.เป็นผู้บูรณาการ และใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัทภายในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด กลุ่ม ปตท.จะเป็นผู้นำของประเทศในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions
โดย นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร ปตท. กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของ ปตท. กุญแจสำคัญคือ ความยั่งยืน จึงต้องเดินหน้าทำธุรกิจที่เหมาะสมระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเติบโตและดูแลธุรกิจเกี่ยวกับคาร์บอนที่ต้องอยู่กับพลังงานฟอสซิลในปริมาณมาก และยังมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ดังนั้นเพื่อสร้างความสมดุลของนโยบาย ESG จะต้องลดและรักษาสิ่งแวดล้อมโดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งปัจจุบัน ปตท.กำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไว้เร็วกว่าที่ประเทศได้ตั้งไว้
ทั้งนี้ ปตท.มีกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนคือ 1.ธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ Climate-Reilience Business โดยการปรับพอร์ตโฟลิโอลดปริมาณการใช้ฟอสซิลในเวลาที่เหมาะสม และบริหารจัดการด้านต้นทุน พร้อมเพิ่มปริมาณพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นผ่านกลุ่มบริษัทต่างๆ ของ ปตท. 2.ธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องคาร์บอน Carbon Conscious Business ผ่านบริษัทในกลุ่ม ปตท. รวมถึงผนึกพันธมิตรธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีในการลดคาร์บอน เพิ่มประสิทธิภาพสินค้าให้เป็น Green Energy
3.การร่วมมือ การสร้างสรรค์ เพื่อทุกคน Coalition, Co-creation & collective Efforts for All ถือเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่จะทำให้กลุ่ม ปตท.ไปสู่เป้าหมาย โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) และการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเป็นส่วนผสมในกลุ่มอุตสาหกรรมตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) สัดส่วน 5% รวมถึงการปลูกป่า เป็นต้น ซึ่งทั้ง 2 โครงการยอมรับว่าท้าทายมาก
นายรัฐกรกล่าวว่า สำหรับโครงการ CCS จะดำเนินการทั้งซัพพลายเชน ตั้งแต่การค้นหาเทคโนโลยีที่จะกักเก็บคาร์บอน ซึ่งกลุ่ม ปตท.มีการปล่อยคาร์บอนประมาณ 50 ล้านตันต่อปี จึงต้องหาเทคโนโลยีในการเก็บคาร์บอน เบื้องต้นมองว่าจะสามารถกักเก็บประมาณ 10 ล้านตันต่อปี ส่วนเชิงพาณิชย์แบบเต็มสเกลจะต้องใช้เวลามาก โดยคาดว่าอาจจะเกิดขึ้นหลังปี 2035 และสำหรับปัญหาสำคัญของการทำ CCS คือ ขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายในการสนับสนุนการวิจัยและศึกษาเพื่อสำรวจพื้นที่ใต้ทะเลจากรัฐบาล ดังนั้นจึงจะต้องออกกฎระเบียบให้ชัดเจน รวมถึงงบประมาณ เพื่อให้เอกชนได้เดินหน้าศึกษาและลงทุน และหลังจากนั้นเมื่อดูโมเดลเสร็จจึงสามารถเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้ได้มีการหารือทั้งกระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่บ้างแล้ว
“นอกจากแผนดังกล่าวแล้ว ยังมีแผนบริหารจัดการคาร์บอนให้กับพาร์ตเนอร์ด้วย เพราะอนาคตจะสามารถส่งโปรดักต์ไปขายที่ยุโรปหรืออเมริกา จะช่วยทั้งกลุ่มและนอกกลุ่ม โดย ปตท.จะสร้างเครือข่ายสู่เทอร์มินัลในการเก็บ ก่อนจะส่งออกต่อทางท่อโดยเรือไปที่อ่าวไทย ซึ่งจะต้องศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)” นายรัฐกรกล่าว
ส่วนโครงการไฮโดรเจนเพื่อภาคอุตสาหกรรมต้องยอมรับว่าอยู่ในแผนของอนาคต เนื่องจากวันนี้ กลุ่ม ปตท.จะยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) เป็นหลัก แต่หากในอนาคตวันที่ไฮโดรเจนมีราคาต่ำลงและเทียบเท่ากับก๊าซธรรมชาติได้ วันนั้นจะมีการใช้ไฮโดรเจนมากขึ้น เพราะไฮโดรเจนเผาไหม้โดยไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเลย โดยต้นทุนเบื้องต้นต่อหน่วยของไฮโดรเจนเมื่อเทียบกับการใช้ก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 4-5 เท่า
“ในระยะสั้นเรายังผลิตไม่ได้เพราะราคาแพง สิ่งที่ทำคือการเอาไฮโดรเจนเข้ามาผสมกับก๊าซธรรมชาติ 5% ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ซึ่งมองว่าการส่งมาจากอินเดียจะคุ้มกว่า โดยอาจจะส่งมาในรูปของแอมโมเนีย ซึ่ง ปตท.มีคอนเนกชันกับซัพพลายเออร์ ส่งผ่านมาให้ PTT trading เพราะเรามีคลังเก็บ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานในการขนส่งไฮโดรเจนให้กับประเทศสู่การเป็น International Gas อาจจะใช้วิธีการนำเข้ามาในรูปแบบแอมโมเนีย และนำเข้าไปไปบริหารจัดการที่โรงไฟฟ้าถ่านหินทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนเป็นไฮโดรเจนก็ได้ ดังนั้นจะมี 2 แบบ คือ direct แอมโมเนียไปที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือนำเข้าแอมโมเนียมาเปลี่ยนเป็นไฮโดรเจนและส่งไปให้โรงไฟฟ้า ถือเป็นรูปแบบที่ ปตท.ศึกษาอยู่” นายรัฐกรกล่าว
ส่องโมเดลศูนย์ทดลองเทคโนโลยีไฮโดรเจนญี่ปุ่น
ต้องยอมรับว่าประเทศญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ส่งผลให้เกิดโมเดลต่างๆ เป็นต้นแบบการทำงานของทั่วโลก รวมถึงยังเป็นแหล่งรวมการผลิต การก่อสร้าง การส่งออกนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือ การตั้งอยู่ของ Takasago Hydrogen Park เป็นสถานที่สำหรับใช้ทดสอบเทคโนโลยีในการผลิตและการใช้งานไฮโดรเจนแห่งแรกของโลก (The world’s 1st center for validation of hydrogen-related technologies)
ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่มุ่งเน้นในการผลิตและพัฒนาการใช้พลังงานไฮโดรเจนที่ยั่งยืน ก่อตั้งเมื่อปี 2022 ดำเนินการโดย Mitsubishi Heavy Industries, Ltd. (MHI) ตั้งอยู่ที่จังหวัด Hyogo ประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นศูนย์การทดลองเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับไฮโดรเจนที่ครบวงจรแห่งแรกของโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน การเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศญี่ปุ่น โดยข้อมูลเบื้องต้นที่สำคัญของ Takasago Hydrogen Park ได้แก่ 1.เทคโนโลยีของการผลิตไฮโดรเจน ซึ่งกระบวนการผลิตไฮโดรเจนของ Takasago Hydrogen Park มีความหลากหลายและมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฮโดรเจนที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเทคโนโลยีหลักที่ใช้ในศูนย์นี้ประกอบไปด้วย
กระบวนการ Electrolysis เป็นกระบวนการที่ใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อแยกน้ำ (H2O) ออกเป็นไฮโดรเจน (H2) และออกซิเจน (O2) โดยการผลิตไฮโดรเจนด้วยกระบวนการ Electrolysis นี้จะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ทำให้กระบวนการผลิตไฮโดรเจนมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำหรือไม่มีเลย กระบวนการ Pyrolysis ที่เกิดจากการเผาไหม้มีเทน (CH4) เป็นกระบวนการทางเคมีที่ใช้ในการทำให้วัสดุแตกตัว โดยกระบวนการนี้เกิดขึ้นที่อุณหภูมิสูง (ประมาณ 500 ถึง 1,500 องศาเซลเซียส) และจะได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นไฮโดรเจนและคาร์บอนแข็ง โดยไม่ปล่อย CO2 เข้าไปในชั้นบรรยากาศ จึงเป็นเป็นวิธีการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ และยังสามารถนำคาร์บอนที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้
กระบวนการ Solid Oxide Electrolysis Cells-SOEC ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของ MHI เป็นเทคโนโลยีในการผลิตไฮโดรเจนโดยการใช้ไฟฟ้าแยกน้ำ (H2O) เป็นไฮโดรเจน (H2) และออกซิเจน (O2) ผ่านทางกระบวนการ Electrolysis และใช้ความร้อน (อุณหภูมิประมาณ 700-1,000 องศาเซลเซียส) กระบวนการดังกล่าวจะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่ากระบวนการ Electrolysis แบบปกติขณะที่ 2.การนำไฮโดรเจนไปใช้งานใน Takasago Hydrogen Park ไฮโดรเจนที่ผลิตได้จะถูกนำไปไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ตัวอย่างเช่น การใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์พลังงานเซลล์ไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Cell Vehicles -FCVs) ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (ออกซิเจน) ระยะการขับขี่ไกลกว่า และการเติมพลังงานที่รวดเร็วกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ การใช้ไฮโดรเจนเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเคมี ใช้ในการผลิตสารเคมี เช่น แอมโมเนีย (NH3) ที่มีการใช้ในปุ๋ยไนโตรเจน และเมทานอล (CH3OH) ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตสารเคมีอื่นๆ เป็นต้น
ต้องยอมรับว่า Takasago Hydrogen Park มีบทบาทสำคัญในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการจัดการไฮโดรเจน โดยมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและองค์กรต่างๆ เพื่อทำการวิจัยและพัฒนาในหลายด้านที่เกี่ยวข้อง เช่น การพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิง การสร้างเทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนที่มีประสิทธิภาพ การประยุกต์ใช้ไฮโดรเจนในระบบพลังงานต่างๆ และร่วมมือกับบริษัทอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อการศึกษาและพัฒนาระบบการจัดการไฮโดรเจนที่เหมาะสม รวมถึงการพัฒนากลไกใหม่ๆ ที่สนับสนุนการใช้ไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิตและการจัดการไฮโดรเจนในระยะยาว เช่น สถานีเติมไฮโดรเจน เพื่อรองรับการเติบโตของยานพาหนะที่ใช้เซลล์ไฮโดรเจน Takasago Hydrogen Park จึงถือเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาที่สำคัญสำหรับเทคโนโลยีไฮโดรเจน ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้พลังงานสะอาดและความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของ MHI ในปี 2040.