เมื่อต้นเดือน วันที่ 5 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดได้อ่านคำพิพากษาที่อาจจะถือว่าเป็น “ฉบับประวัติศาสตร์” ที่ ฟร.1/2568 ที่ถูกเรียกว่า เป็นคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบว่าด้วยทรงผมของเด็กนักเรียน
คดีนี้เป็นคดีประเภทที่ฟ้องตรงต่อศาลปกครองสูงสุดได้โดยตรงตามมาตรา 11 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 เพราะเป็นการโต้แย้งความชอบด้วยกฎหมายของ “กฎกระทรวง” ที่ถือว่าเป็นกฎที่ออกโดยคณะรัฐมนตรี
ผลของคำพิพากษาศาลปกครองนั้นคงเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วสำหรับผู้เกี่ยวข้องและผู้สนใจว่า ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2518) ลงวันที่ 6 มกราคม 2518 ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ที่กำหนดห้ามนักเรียนชายดัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้างและด้านหลังยาวเลยตีนผมและห้ามไว้หนวดเครา สำหรับนักเรียนหญิงห้ามดัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากได้รับอนุญาตให้ไว้ผมยาวต้องรวบให้เรียบร้อย รวมถึงห้ามนักเรียนทุกคนใช้เครื่องสำอางหรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวย
พูดง่ายๆ ว่าเป็นเหมือน “แม่บท” ของกฎระเบียบว่าด้วยทรงผมของโรงเรียนต่างๆ ในบังคับของกระทรวงศึกษาธิการและในทางปฏิบัติก็รวมถึงโรงเรียนเอกชนที่ใช้แนวทางการศึกษาที่เทียบเท่าโรงเรียนของรัฐ ที่เรารู้เห็นกันชินตามาแต่รู้เรื่องและเข้าสู่ระบบการเรียนในโรงเรียนว่า ถ้าที่ไหนเคร่งครัดก็จะบังคับให้นักเรียนชายตัดผมแบบขาวสามด้าน ส่วนนักเรียนหญิงก็เป็นทรงม้าเต่อถึงติ่งหู ส่วนโรงเรียนไหนพอจะอนุโลมบ้าง นักเรียนชายอาจจะสามารถไว้ผมรองทรงสูงและนักเรียนหญิงอาจจะไว้ผมยาวโดยรวบผมให้เรียบร้อยได้
อันที่จริงแล้วปัญหาเรื่อง “กฎหมาย” กับ “ทรงผมนักเรียน” นี้ออกจะน่าสับสนอยู่นานแล้ว ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนประจำ (ถ้ามี) ของคอลัมน์นี้ก็น่าจะคุ้นๆ ว่าเคยเขียนถึงเรื่องนี้มาไม่น้อยกว่าสองครั้ง
เพราะก่อนหน้านี้ กระทรวงศึกษาก็เคยออกระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นระเบียบที่มา “ปลดล็อก” ทรงผมนักเรียนไปแล้วในครั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังปรากฏว่ามีโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่ยังดื้อแพ่งไม่ยอมรับระเบียบของกระทรวงศึกษาข้างต้น แล้วไปยึดถือตามกฎกระทรวงฉบับที่ถูกฟ้องศาลปกครองนี้เป็นฐานในกำหนดทรงผมของนักเรียนต่อไป เนื่องจากในตอนนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่ากฎกระทรวงดังกล่าวยังมีผลใช้บังคับอยู่หรือไม่
นอกจากนั้น ระเบียบกระทรวงศึกษาฉบับปี 2546 ยังถูก “ยิงซ้ำ” ด้วยความเห็นเรื่องเสร็จที่ 1523/2565 ของคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 8 ว่ากระทรวงศึกษาธิการไม่มีอำนาจออกระเบียบว่าด้วยทรงผมนักเรียนโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าวออกมาในเรื่องนี้ได้ โดยจะต้องทำเป็น “นโยบาย” ให้สถานศึกษาในบังคับไปวางระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนและนักศึกษาตามความเหมาะสมและต้องกำกับดูแลไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะที่อาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของนักเรียนและนักศึกษา
ผลของความเห็นดังกล่าวทำให้กระทรวงต้องยกเลิกระเบียบว่าด้วยทรงผมปี 2564 แล้วมอบนโยบายลงไปตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา และนั่นยิ่งทำให้โรงเรียนที่ยังถือระเบียบของตัวเองที่ออกตามกฎกระทรวงที่ออกตามความของประกาศคณะปฏิวัตินั้นก็ยังสามารถอ้างใช้เป็นอำนาจในการบังคับให้เด็กนักเรียนตัดผมทรงขาวสามด้านและม้าเต่อถึงติ่งหูได้ต่อไปได้ ส่วนการมอบ “นโยบาย” ให้ทางกระทรวงกำกับดูแลไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะที่อาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายประเภทจับนักเรียนกล้อนผมหรือบังคับตัดผมโดยไม่สมัครใจหรือลงโทษด้วยวิธีแปลกประหลาดพิสดารนั้น ใครพอจะตามข่าวเรื่องนี้ก็คงพอจะทราบแล้วว่าได้ผลแค่ไหน เพราะเรายังคงมีข่าวในลักษณะดังกล่าวอยู่เรื่อยๆ ในทุกช่วงเปิดเทอม
การที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนกฎกระทรวงเจ้าปัญหานี้ แม้อันที่จริงแล้วเหตุผลหลักของศาลปกครองสูงสุดนั้นจะอยู่ที่ว่าเพราะกฎกระทรวงดังกล่าวถือว่าถูกยกเลิกไปแล้วโดยผลของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 เนื่องจากมีเจตนารมณ์ที่ขัดต่อหลักการของกฎหมาย แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ “เหตุผล” ที่นำไปสู่การพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่ได้อธิบายไว้ว่า กฎกระทรวงดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างไร
โดยศาลปกครองสูงสุดได้ให้เหตุผลโดยสรุปว่า ระเบียบเรื่องทรงผมตามกฎกระทรวงที่อาศัยอำนาจของประกาศคณะปฏิวัติดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดีและอยู่ในระเบียบวินัยของสังคมโดยมิได้คำนึงถึงพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย เป็นกฎที่ไม่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และยังอาจนำไปบังคับอย่างเคร่งครัดเกินไปจนอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจของเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายได้ จึงขัดต่อกฎหมายคุ้มครองเด็กฉบับปัจจุบัน และยังขัดต่อหลักการตรากฎหมายที่จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่าการตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคล ต้องไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุด้วย
นอกจากนี้ หลักการที่ไม่ได้เขียนไว้โดยตรงในคำบังคับตามคำพิพากษาของศาล เนื่องจากเป็นคดีฟ้องเพิกถอนกฎแล้วคำบังคับรูปแบบเดียวที่ศาลจะกำหนดได้ตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ คือสั่งให้เพิกถอนกฎนั้นและประกาศลงราชกิจจานุเบกษา แต่ก็ได้วินิจฉัยไว้บางท่อนบางตอนว่า กระทรวงศึกษาอาจจะออกกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤติของนักเรียนนักศึกษาที่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองเด็กก็ได้ โดยแม้จะไม่ได้มีการกำหนดเรื่องทรงผมของนักเรียนโดยเฉพาะเจาะจงไว้ โดยโรงเรียนหรือสถานศึกษาอาจกำหนดระเบียบเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนได้ โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก พัฒนาการของบุคลิกภาพและอัตลักษณ์ของเด็กในแต่ละช่วงวัย และต้องไม่เป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของนักเรียนเกินสมควรแก่เหตุซึ่งจะเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายคุ้มครองเด็ก
ดังนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว ผลของคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสภาพบังคับตามกฎหมายของ “ทรงผม” นักเรียนของโรงเรียนต่างๆ สักเท่าไร โดยเอาเข้าจริงแล้วก็เหมือนกับการ “เสริม” ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่กล่าวถึงในตอนต้นนั่นแหละว่า การกำหนดทรงผมนักเรียนนั้นทางกระทรวงหรือส่วนกลางทำได้เพียงกำหนดนโยบายให้แต่ละโรงเรียนกำหนดทรงผมนักเรียนให้สมเหตุสมผลและกำกับดูแลไม่ให้มีการบังคับใช้ระเบียบไปในทางละเมิดสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย
แต่ส่วนที่นับว่าเป็นคุณประโยชน์กว่า คือความเป็น “คำพิพากษา” ของศาลที่ถือว่าสูงสุดแล้วในทางกฎหมายปกครองอันเป็นฐานแห่งการใช้อำนาจรัฐทั้งหลาย และเหตุผลในคำพิพากษาที่แม้ไม่มีสภาพบังคับโดยตรงกับระเบียบว่าด้วยทรงผมหรือความประพฤติของนักเรียนอื่นๆ ที่มีอยู่แล้วในตอนนี้หรือที่จะออกมาในอนาคต แต่ก็ทำให้ทางกระทรวงหรือโรงเรียนได้ตระหนักว่า เหตุผลของศาลปกครองนั้นจะเป็นกรอบกำหนดว่าการออกกฎหรือระเบียบใดๆ ที่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลดังกล่าวก็อาจจะถูกฟ้องร้องและถูกเพิกถอนโดยศาลปกครองได้ในอนาคต
นอกจากนี้ การเพิกถอนกฎกระทรวงว่าด้วยทรงผมที่โรงเรียนหลายโรงและครูอาจารย์บางคนยังอ้างไว้เหมือนกับยันต์ป้องกันตัวว่าการละเมิดสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเด็กนักเรียนเกินสมควร เช่น การบังคับตัดผมหรือห้ามเข้าสอบ ไม่ให้เข้าห้องเรียนหรือเบิกประจานรังแกในทางอื่นนั้น ก็นับว่ากฎกระทรวงที่เป็นเครื่องมืออ้างอำนาจอันมิชอบนั้นถูกชำระสลายไปกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ ฟร.1/2568 ดังกล่าวแล้ว
แต่เรื่องที่ว่าคำพิพากษาข้างต้นนั้นจะแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างโรงเรียนกับนักเรียนในเรื่องเกี่ยวกับทรงผมได้อย่างจบสิ้นหรือไม่นั้น ก็ยังไม่อาจฟันธงได้อยู่นั่นเอง เพราะอันที่จริงแล้ว ปัญหาของการละเมิดสิทธิของเด็กนักเรียน โดยเฉพาะอ้างกฎระเบียบเป็นอำนาจในการละเมิดสิทธินั้นเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายมาตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่มีการดำเนินการทางวินัยหรือกฎหมายอย่างจริงจังจากทางกระทรวงศึกษาฯหรือผู้มีอำนาจกำกับดูแลเลย
คือถึงแม้จะต่อให้กฎกระทรวงที่ออกตามความในประกาศคณะปฏิวัตินั้นจะมีผลใช้บังคับก็ตาม แต่กฎกระทรวงดังกล่าวก็ไม่ได้ให้อำนาจ หรือไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจการลงโทษอย่างละเมิดสิทธิ เช่น การบังคับจับกล้อนหรือตัดผม หรือใช้มาตรการบังคับประเภทห้ามเข้าเรียนห้ามเข้าสอบอะไรทั้งสิ้น รวมทั้งอันที่จริงการกระทำดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการกระทำความผิดทางอาญาทั้งต่อเสรีภาพและต่อหน้าที่ราชการด้วย แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าครูอาจารย์ที่กระทำการละเมิดสิทธิดังกล่าวนั้นถูกดำเนินการทางวินัยหรือฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาใดๆ เลย
ดังนั้น หลังจากนี้หากทางกระทรวงศึกษาธิการมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิเด็กนักเรียนโดยอ้างเหตุเรื่องทรงผมนี้จริง การมอบ “นโยบาย” ที่สอดคล้องกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดก็คงไม่พอ อาจจะต้องย้ำไปในการมอบนโยบายดังกล่าวว่าการกำหนดระเบียบหรือหลักเกณฑ์ว่าด้วยทรงผมที่ไม่เป็นไปตามแนวทางที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาการของบุคลิกภาพและอัตลักษณ์ของเด็กหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของนักเรียนเกินสมควรแก่เหตุนั้น เป็นการกำหนดระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและใช้อ้างไม่ได้ รวมถึงการบังคับลงโทษด้วยวิธีการเดิมๆ ที่เคยชินและคิดว่าทำได้นั้น จะต้องถูกดำเนินการทางวินัยและอาญา รวมถึงมีความรับผิดตามกฎหมายปกครองอย่างจริงจัง ซึ่งเอาเข้าจริงเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ทางกระทรวงศึกษาธิการสามารถบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายได้มาตั้งนานแล้ว โดยไม่ต้องอาศัยคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเป็นหลักพิงแต่ประการใด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องของทรงผมนักเรียนนี้ก็ยังมีแง่มุมที่อยู่นอกเหนือไปจากร่มเงาของ “กฎหมาย” ที่กล่าวไปทั้งหมดข้างต้นอีกด้วย
สําหรับ “โรงเรียน” บางแห่งที่มีวัฒนธรรมประเพณีที่สั่งสมมาเป็นการเฉพาะเกี่ยวกับความประพฤติการแต่งกายซึ่งรวมถึงทรงผมของนักเรียนแล้ว แดนแห่งวัฒนธรรมประเพณีอันเก่าแก่นี้ก็เป็นส่วนที่แสงแห่ง “กฎหมาย” ส่องเข้าไปได้ไม่ถึง โรงเรียนก็อาจจะกำหนดระเบียบเรื่องทรงผมและการประพฤติตัวของนักเรียนที่เคร่งครัดอย่างไรก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนที่มีเสรีภาพในการตกลงกันระหว่างทางโรงเรียนกับนักเรียนและผู้ปกครองที่ในทางทฤษฎีไม่อาจอ้างกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญเข้าไปบังคับได้ ดังนั้น ทางโรงเรียนก็อาจจะกำหนดระเบียบทรงผมได้ตาม “วัฒนธรรมประเพณีอันเก่าแก่” ที่ว่านั้น และถ้านักเรียนหรือผู้ปกครองไม่พอใจในระเบียบดังกล่าวที่เป็นเหมือน “ข้อสัญญา” ระหว่างทางโรงเรียนและผู้ปกครองกับนักเรียนอย่างหนึ่ง ก็อาจต้องถือเป็นอำนาจที่ทางโรงเรียนก็จะ “ไม่อนุญาตให้เข้ารับบริการการศึกษา” ที่เทียบได้กับการ “เลิกสัญญา” ในทางแพ่ง ตามหลักความเสมอภาคและเสรีภาพในการทำนิติกรรมสัญญา
หรือแม้แต่โรงเรียนรัฐบาลที่มีประวัติความเป็นมาและวัฒนธรรมประเพณีเฉพาะ ก็อาจจะมีการบังคับในเชิงวัฒนธรรมในลักษณะเดียวกันผ่านกลไกของสมาคมผู้ปกครองและครูรวมถึงศิษย์เก่าด้วย ดังนั้น ผู้ปกครองและนักเรียนที่หมายมุ่งจะเข้าไปเป็นส่วนร่วมของ “วัฒนธรรมประเพณี” อันเชื่อมโยงไปสู่เส้นสายความสัมพันธ์เร้นลึกในทางสังคมนั้น ก็ต้องยอมรับและถือว่ายอมจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยสมัครใจเพื่อผลประโยชน์ดังกล่าวนั้น แต่ที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็น “กรณียกเว้นพิเศษ” ไม่กี่ที่กี่แห่งในประเทศไทย อย่างที่ไม่ต้องเอ่ยชื่อหลายท่านก็น่าจะพอนึกออก
ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ในเรื่องสิทธิเสรีภาพเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่บนหัวของเด็กนักเรียนนี้ ก็น่าจะส่งผลที่เป็นคุณในภาพรวมอยู่นั่นเอง